โฟกัสมติร้อนแพทยสภา มีผลหรือไม่กับ ‘ทักษิณ’

โฟกัสมติร้อนแพทยสภา มีผลหรือไม่กับ ‘ทักษิณ’

ไม่เพียง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น ที่ใช้อำนาจในการไต่สวนปม “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของ “ทักษิณ ชินวัตร” เอง

จนทำเอา “ฝ่ายแค้น” รวมถึงกลุ่มคนที่ต่อต้าน “ทักษิณ” มีลุ้นขึ้นมาทันที

หากแต่ตามด้วยมติร้อนของ “แพทยสภา” ที่มีความเห็นให้ลงโทษตักเตือนและพักใบอนุญาตแพทย์ 3 คน ที่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นใจและเข้าทางพอดิบพอดี

อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจถือว่า ปม “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะผลจากมติของแพทยสภา เป็นเพียงการลงโทษแพทย์ทางจริยธรรมเท่านั้น ไม่ได้ก้าวล่วงไปถึงข้อสรุป “ป่วยทิพย์” หรือไม่?

นอกจากนี้ มติดังกล่าว ยังต้องให้ “สภานายกพิเศษ” สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เห็นชอบ หรือ ยับยั้ง ตามขั้นตอนของกฎหมาย

เรื่องนี้ “สมศักดิ์” กล่าวว่า ขณะนี้ผลการพิจารณาของแพทยสภายังไม่ได้ส่งเรื่องมาถึงตน จึงยังไม่ทราบในรายละเอียดของการพิจารณา ซึ่งตามกฎหมาย รมว.สาธารณสุข มีระยะเวลาพิจารณา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับมติของแพทยสภาที่ส่งมา ดังนั้น เวลานี้ต้องรอหนังสือที่ได้มีการลงมติส่งมาถึงก่อน จึงจะเดินหน้าพิจารณาได้

“ที่หลายฝ่ายพยายามกดดัน หรือ ชี้นำสังคมว่า ผมจะยับยั้งมติแพทยสภานั้น ขอให้เข้าใจกรอบข้อกฎหมายด้วย ผมมีกรอบพิจารณา 15 วัน ยังไม่ได้เริ่มพิจารณา ดังนั้น ขออย่าชี้นำสังคม เพราะผมยังไม่เห็นผลการสอบสวน หรือแม้แต่รายชื่อ บุคคลทั้ง 3 ว่าเป็นใคร แต่หากเอกสารมาถึง ผมจะพิจารณาตามข้อกฎหมายอย่างเต็มที่”

ขณะเดียวกัน “สมศักดิ์” กล่าวว่า ตนเข้าใจดีว่า เรื่องผลสอบแพทยสภา จะถูกนำไปเชื่อมโยงทางการเมือง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า นักการเมืองหลายคนก็พยายามเชื่อมโยงจนสังคมสับสน ตนเข้าใจบทบาทนักการเมืองที่ทำมาแบบดั้งเดิม แต่ก็ขอว่า อย่าให้ข้อมูลแบบซ้ายที ขวาที เพราะจะทำให้สังคมเข้าใจผิด ซึ่งเราต้องยึดมั่นในกระบวนการ ระเบียบ และกฎหมาย ต้องให้เวลาตนศึกษาข้อมูลด้วย

 “เท่าที่ผมอ่านข่าวแพทยสภา ก็ไม่มีการลงรายละเอียดเชิงลึก ดังนั้น ต้องรอรายละเอียดที่จะส่งตามมาจากนี้ จึงขอสังคม อย่าเพิ่งคาดเดา หรือ ชี้นำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะทำแบบนั้น จะถือว่า ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาเคลื่อนไหวยื่นหนังสือถึงแพทยสภา เพื่อติดตามตรวจสอบการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ที่รักษา “ทักษิณ ชินวัตร” กล่าวกับ “ไทยโพสต์” ถึงมติของแพทยสภาที่ลงโทษแพทย์สามคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ว่า

 ดีใจที่คณะแพทยสภาและอนุกรรมการของแพทยสภาฯสองคณะ(คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ, คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง) ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ต้องบอกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตัวเองได้รับฟังเสียงต่างๆ เช่น มีนอกมีในอะไรหรือไม่ แต่กลับกันตนได้รับคำยืนยันจากหลายคนในแพทยสภา ต่างบอกว่า รับรองยืนยัน จะรักษาชื่อเสียงของวงการแพทย์-อาชีพแพทย์ไว้อย่างแน่นอน

 “ผมรับฟังไว้และรอดู หลังก่อนหน้านี้ผมเคยไปยื่นหนังสือถึงแพทยสภา(เดือนเมษายน)เรียกร้องให้การพิจารณาเรื่องนี้ของแพทยสภาอย่าเลื่อนออกไปเรื่อย ขอเป็นเดือนถัดไป(พฤษภาคม)ซึ่งท่านก็ได้ทำตามที่เคยรับปากไว้”

เมื่อถามว่า จากคำแถลงของศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา ส่วนของแพทย์ที่ลงโทษแค่ตักเตือน อาจจะเป็นแพทย์ของรพ.ราชทัณฑ์ใช่หรือไม่ นพ.ตุลย์ กล่าวว่า พูดรวมๆ ก็คือ เมื่อเป็นการรักษาและจริยธรรม ที่เด่นชัดที่สุดคือออกใบรับรองแพทย์เป็นเท็จ หากหลักฐานบอกว่าไม่ได้ป่วยวิกฤต แต่ไปออกใบรับรองแพทย์ว่าป่วยวิกฤต อันนี้มีปัญหาแน่ ถือว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่วนจะลงโทษมากน้อยเพียงใด ก็คงขึ้นอยู่กับมติแพทยสภา ที่จะพบว่า ในการแถลงไม่ได้บอกว่าจะพักใบอนุญาตนานแค่ไหน เพราะต้องไปดูว่า ทางสภานายกพิเศษ(สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข) จะเห็นด้วยอย่างไรหรือไม่

“ผมเชื่อว่าเมื่อสภานายกพิเศษ ได้รับมติภายในสิบห้าวัน ที่จะต้องมีคำวินิจฉัยมาว่าเห็นชอบหรือคัดค้านภายในสิบห้าวัน นับจากได้รับมติแพทยสภาจากนายกแพทยสภา ท่านคงไม่ได้คัดค้านในเรื่องความผิด แต่อาจคัดค้านในลักษณะว่า พักใบอนุญาตนานไปหรือไม่ จะพักชั่วคราวแล้วนานแค่ไหน จะสังเกตคำแถลงของแพทยสภาว่า เนื่องจากเป็นข้อมูลข่าวสารที่เรื่องยังไม่จบกระบวนความ จึงไม่ได้มีการระบุว่าเป็นแพทย์ท่านใด อยู่หน่วยงานไหน เราก็ได้แต่เดา”

ถามย้ำว่า คิดว่าเป็นแพทย์ในส่วนใด นพ.ตุลย์ ตอบว่า ที่เคยได้ยินข้อมูลก็คือ พยาบาลที่รพ.ราชทัณฑ์ เคยแจ้งว่า มีผู้ต้องขังชื่อทักษิณ มีอาการเป็นแบบนี้ๆๆๆ ก็มีการสั่งการโดยที่ว่า โอเค เอาตัวไปรักษา มีการส่งตัวไปเลย (รพ.ตำรวจ) อันนี้มันผิดมาตรฐานการรักษาเพราะว่า ถ้าไม่รักษาเบื้องต้นก่อนแล้วอยู่ๆ จับตัวขึ้นรถไปเลย อันนี้มีความเสี่ยงต่อตัวผู้ป่วย ถ้าป่วยจริง

ถามถึงกรณีพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการแพทย์หมอสองคน กรณีให้ข้อมูลเอกสารอันไม่ตรงกับความเป็นจริง น่าจะเป็นหมอที่ รพ.ตำรวจหรือไม่ นพ.ตุลย์ กล่าวว่า น่าจะเป็นเช่นนั้น ในกระบวนการส่งตัวจากเรือนจำมาที่รพ.ตำรวจ หากนานเกินกว่าสามสิบวัน หกสิบวัน หนึ่งร้อยยี่สิบวัน ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ส่งกลับไป ต้องเป็นข้อมูลยืนยันว่า ยังป่วยวิกฤตอยู่ แต่บังเอิญว่าข้อมูลที่แพทยสภาได้รับ อนุกรรมการสอบสวนฯ ได้รับ มีการพิจารณาดูแล้ว พบว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ป่วยวิกฤต เพราะหากป่วยวิกฤต ต้องมีข้อมูลทางการแพทย์มากมายที่จะบอกว่า ใครอ่านเสร็จไม่ต้องดูชื่อข้างบน (ชื่อผู้ป่วย) แต่ดูอาการ ดูผลลัพธ์ ทุกคนบอกโอเค อย่างนี้เรียกว่าวิกฤต ซึ่งในการวินิจฉัยไม่แน่ใจว่าได้ส่งไปถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ หรือไม่ หรือ ถามความเห็นจากราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง ที่ก็มีหลายราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยวิกฤต ถ้าเขาส่งไปโดยบอกว่า ข้อมูลเป็นแบบนี้ โดยถามว่าวิกฤตหรือไม่ รักษาได้ถูกต้องหรือไม่ หลังสามสิบวันผ่านไป หกสิบวันผ่านไป หากออกมาว่าไม่เข้าข่ายวิกฤต ทางแพทย์ที่ไปรับรองว่าวิกฤต ก็ถือว่าผิดมาตรฐานหรือเขียนใบรับรองที่เป็นเท็จ

“กระบวนการทางแพทยสภาน่าจะจบสิ้นแล้ว แต่ถามว่าทำไมเหลือแค่นี้ ก็คงดูที่หลักฐานทางการแพทย์ ใบรับรองแพทย์ แต่หากเป็นอำนาจทางการบริหาร ที่เป็นการทุจริต ไม่ถูกต้องไม่ตรงไปตรงมาหรือมีการละเว้น คราวนี้ก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการป.ป.ช. ในเรื่องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 157” นพ.ตุลย์ ย้ำให้เห็น

 ส่วนที่ศ.นพ.ประสิทธิ์ แถลงว่า มติแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์สามคนเป็นเสียงส่วนใหญ่มากๆ ก็คาดว่าคงอย่างน้อย 50 คนจากกรรมการ 70 คน ซึ่งสมมุติว่า สภานายกพิเศษ(สมศักดิ์ รมว.สาธารณสุข)มีความเห็นคัดค้านมติแพทยสภามา แล้วส่งกลับมา หากแพทยสภาจะไม่เห็นด้วย ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของกรรมการแพทยสภาทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ใช่ 2 ใน 3 ของคนที่เข้าประชุม หากอยากคัดค้านความเห็นสภานายกพิเศษ ก็ต้องระดมคนมา

 “แต่ผมว่าอย่างมากจากพักใบอนุญาต12 เดือนแล้วขอว่าให้เหลือพักใบอนุญาตแค่ 6 เดือนแล้วกัน ผมว่าคงไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะประเด็นหลักที่เราใจจดใจจ่อ รอมาเป็นเดือน รอกันแบบนับชั่วโมง จนถึงวินาทีที่อุปนายกแพทยสภามาแถลง กลับไม่ใช่เรื่องของแพทย์ถูกลงโทษ แต่เป็นเรื่องของข้อมูลว่า สรุปแล้ว ทักษิณ ป่วยขั้นวิกฤตจริงหรือไม่ นี้คือประเด็นที่ผมเชื่อว่า สังคม รวมถึงแม้แต่องค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาฯ ซึ่งความคงปรากฏชัดต่อผู้พิพากษาแล้วว่าตกลงวิกฤตจริงหรือไม่ เพราะหากใครจำได้ ผู้ใกล้ชิดทักษิณพยายามที่จะบอกว่า ทักษิณเคยถูกบังคับคดีไปเรียบร้อยแล้ว แต่หากการส่งตัวจากราชทัณฑ์ไปรพ.ตำรวจ โดยอ้างว่า ป่วย แต่ว่าไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง ก็ถือว่า เป็นโมฆะ เมื่อเป็นโมฆะการบังคับคดี ก็เท่ากับยังไม่เกิดขึ้น ทำให้คนที่เดือดร้อนจะไม่ใช่แพทย์ ผมอยากบอกว่า แผ่นดินไหวสะเทือนไปถึงแถวจรัญสนิทวงศ์

ด้าน “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้แสดงความเห็นทางกฎหมายต่อกรณีนี้ โดยชี้ว่า มติของคณะกรรมการแพทยสภาดังกล่าว เป็นเพียง “คำสั่งทางปกครอง” ที่ยังไม่ถึงที่สุด ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการอื่นได้

“ดร.ณัฏฐ์” อธิบายว่า การใช้อำนาจของแพทยสภาตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 8 เป็นการใช้อำนาจที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ประกอบวิชาชีพ จึงถือเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งยังต้องผ่านการตรวจสอบอีกชั้นโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะ “สภานายกพิเศษ”

ตามกฎหมาย มติของแพทยสภาจะมีผลได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีฯ หรือหากรัฐมนตรีฯ ไม่ยับยั้งภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับมติ ถือว่าเห็นชอบโดยปริยาย แต่หากมีคำสั่งยับยั้ง มติจะต้องถูกนำกลับไปให้คณะกรรมการพิจารณาอีกครั้ง และหากมีเสียงยืนยันไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 จึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ตามมติดังกล่าว

กระบวนการนี้ ยังเปิดช่อง ผู้ถูกลงโทษสามารถยื่นฟ้องเพิกถอนคำสั่งต่อศาลปกครองได้ภายใน 90 วัน ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ส่งผลให้มติแพทยสภา ยังไม่มีผลใช้บังคับเด็ดขาดในทางกฎหมาย

 “ดร.ณัฏฐ์” จึงชี้ว่า การที่บางฝ่ายพยายามนำมติแพทยสภาไปเชื่อมโยงกับกระบวนการไต่สวนกรณีคุมขังของนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 เป็นการด่วนสรุปเกินไป เพราะ มติดังกล่าว ยังไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานที่มีผลทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงปี 2563

“ดร.ณัฏฐ์” ระบุว่า ประเด็นนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนาน หากผู้ที่ถูกลงโทษใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งกระบวนการศาลปกครองต้องผ่านทั้งศาลชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด จึงไม่อาจนำมติที่ยังไม่ถึงที่สุดนี้ ไปบั่นทอนความน่าเชื่อถือของแพทย์ผู้มีบทบาทในการรักษานายทักษิณได้ในชั้นนี้...

สรุปแล้ว แม้จะมีมติของแพทยสภา ลงโทษแพทย์สามคน จากการสอบสวนจริยธรรมในการรักษา “ทักษิณ” แต่ก็ยังไม่อาจบ่งชี้อย่างแจ้งชัด และใช้เป็นพยานหลักฐานได้ว่า “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ หรือแม้แต่มติแพทยสภาก็ยังมีขั้นตอนที่ยังไม่ถึงที่สุด

ส่วนข้อกฎหมาย ที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” จะนำมาใช้ในการพิจารณาคดีนี้ มีความเห็นตรงกันแล้วว่า คือกฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา 55 กำหนด ให้ ผบ.เรือนจำ เป็นผู้อนุญาต และให้ถือว่าการรักษาตัวนี้เป็นการคุมขัง

ส่วน การจะนำ “ทักษิณ” ที่ถูกลงโทษตามกฎหมายไปแล้ว กลับมาขังซ้ำ (กรณีนับวันลงโทษขณะรักษาอยู่บนชั้น 14 รพ.ตำรวจ และทำตามระเบียบคุมขังของกรมราชทัณฑ์ นักกฎหมายมหาชนบางคนชี้ว่า คดีเดียวกันจะขังซ้ำไม่ได้ เพราะขัดหลักกฎหมายสากล

แต่นักกฎหมายบางคนชี้ว่า ศาลฎีกาฯสามารถออกหมายขังใหม่ได้ ถ้ามีข้อเท็จจริง ป่วยทิพย์หรือป่วยจริง ถ้าป่วยทิพย์ก็จะนับเอาเวลาอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาคุมขังไม่ได้ ต้องเอาตัวไปขังจริงให้ครบ 1 ปี

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่เพียงผู้เดียว ที่จะให้คำตอบได้ว่า สุดท้าย “ทักษิณ” รอดหรือไม่รอด!