เดิมพัน ‘เก้าอี้ มทภ.4’ แก้‘ไฟใต้’ เกาให้ถูกที่คัน

“ไฟใต้” ปัจจุบันไม่มีทีท่าหมอดลง แต่ถูกกระพือด้วยเหตุรุนแรง ส่วนรัฐบาลเหมือนเสียขบวน ระดับปฏิบัติขาดเอกภาพ การทำงานเน้นตามเนื้อผ้า "เก้าอี้ มทภ.4" เริ่มสั่นคลอน
KEY
POINTS
- พบปัญหาระดับนโยบาย ไร้หัวในการกำหนดทิศทางการทำงาน จชต. ต่างฝ่ายต่างมอบนโยบาย สั่งงาน ทำเจ้าหน้าที่ปฏิบัติสับสนอลหม่านไม่รู้ทำตามแนวทางใคร
- เก้าอี้ “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค4)สั่นคลอนไม่น้อย เหตุทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุก
- การทำงานมีปัญหาในเรื่องเอกภาพ ทำแก้ไฟใต้ติดขัดอันเกี่ยวเนื่องกับการเลื่อนยศ ปลดย้าย
เหตุลอบยิง “อับดุลรอนิง ลาเต๊ะ” วัย 60 ปี อดีตอุสตาซ หรือ อดีตครูสอนศาสนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสียชีวิตหลังเดินทางกลับจากละหมาด ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568
แม้เจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเร่งสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และมูลเหตุจูงใจใน การก่อเหตุครั้งนี้ เป็นความขัดแย้งส่วนตัว หรือประเด็นความมั่นคงที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมักจะกระทำต่อผู้นำศาสนาแล้วโยนความผิดใส่ร้ายเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
ประเด็นหนึ่ง หน่วยงานความมั่นคงพุ่งเป้า ความขัดแย้งระหว่างคน 2 รุ่น กลุ่มบีอาร์เอ็น หลังมีการบ่มเพาะ ก่อกำเนิดกองกำลังรุนใหม่ และมีความคิดเห็นไม่ตรงกับรุ่นเก่า จนนำไปสู่การลอบทำร้ายฝ่ายเดียวกัน
แต่กระนั้น เหตุลอบยิงอดีตอุสตาซ ถูกมองเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ คาดว่าน่าเป็นชนวนคนร้ายกราดยิง ไล่ทำร้ายผู้บริสุทธ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน ตั้งแต่ พระภิกษุสามเณรขณะออกบิณฑบาต อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา 22 เม.ย.2568
ส่วนที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส คนร้ายเข้าไปกราดยิงในบริเวณบ้านพักทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 2 ราย เสียชีวิต 3 ราย หนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นเด็กวัย 9 ขวบ 2 พ.ค.2568
ขณะที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส คนร้ายขับ รถจักรยานยนต์ประกบยิง 2 แม่ลูกขณะเดินทางไปโรงพยาบาล ทำให้หญิงอายุ 76 ปี พิการตาบอดทั้งสองข้าง เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนลูกชาย อายุ 50 ปี บาดเจ็บสาหัส 3 พ.ค.2568
เรื่องนี้สร้างแรงกดดันการทำงานของรัฐบาล หลังจาก ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม สั่งทบทวนการพูดคุยสันติสุข หาตัวแทนพูดคุยบีอาร์คนคนใหม่ ที่สามารถสั่งหยุดการปฏิบัติการกองกำลังก่อความรุนแรงในพื้นที่ได้
ขณะเดียวกันสั่งหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ปรับแผนการทำงาน เน้นงานเชิงรุก และความแม่นยำงานด้านการข่าว
แต่กระนั้นยังพบปัญหาระดับนโยบาย ไร้หัวในการกำหนดทิศทางการทำงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ลงพื้นที่แต่ละคน บ้างก็อ้างรับมอบหมายจาก “ภูมิธรรม” บางคนอ้างได้รับมอบหมาย “พรรคเพื่อไทย” มาแก้ปัญหาไฟใต้ สั่งงานกันคนละทิศละทาง
ครอบคลุมถึงรัฐมนตรีบางคนของรัฐบาล ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่กลับเรียกพบ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองใน จชต.มามอบนโยบายทำงาน ทำเอาเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานในพื้นที่สับสนอลหม่านไม่รู้จะปฏิบัติตามแนวทางของใคร
เก้าอี้ “พล.ท.ไพศาล หนูสังข์” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค4) สั่นคลอนไม่น้อย เหตุทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุก แม้ได้รับคำท้วงติงจาก “กองทัพบก”ก่อนหน้านี้หลายรอบ ตั้งแต่ไฟใต้เริ่มคุกรุ่น จนมีเหตุกราดยิงพระภิกษุ สามเณร ประชาชน มีทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ เสียชีวิต
ส่วนทางลับมีลูกหม้อทัพภาค 4 บางคนพยายาม“เลื่อยขาเก้าอี้” มทภ.4 วิ่งเต้นเข้าหา“นายใหญ่” ขอโชว์ฝีมือแก้ไฟใต้ ทิ้งทวนก่อนเกษียณอายุราชการ แต่ยังไม่มีสัญญาณตอบรับข้อเสนอดังกล่าว
โอกาส พล.ท.ไพศาล เหลือเวลาไม่มากนัก ก่อนถึงฤดูกาลโยกย้ายใหญ่ ต.ค. ต้องแสดงฝีมือ คุมไฟใต้ให้ได้ หากทำไม่สำเร็จ อาจหลุดเก้าอี้ มทภ.4 ก่อนเกษียณปี 2569 และอาจลามไปยังตำแหน่งอื่นๆ ในกองทัพภาค 4
เหตุถูกมองว่า มีปัญหาในเรื่องเอกภาพ ทำแก้ไฟใต้ติดขัดอันเกี่ยวเนื่องกับการเลื่อนยศ ปลดย้าย มีการเผชิญหน้าระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา แตะใครไม่ได้ เพราะเป็นน้องรักบิ๊กคนนั้น บิ๊กคนนี้ จนไม่สามารถคุมสภาพพื้นที่ได้
บางกรณีเป็นเรื่องของการ “วางทายาท“ ในการรับไม้ เพื่อสานต่อในทุกเรื่องในอดีต ตั้งแต่ “บิ๊กเดฟ”พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ อดีตผู้ช่วย.ผบ.ทบ. “บิ๊กเกรียง”พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 และอดีตผู้ช่วยผบ.ทบ. “บิ๊กต้น”พล.อ.ศานติ สกุนตนาค หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองทัพบก
สำหรับ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 (ตท.25) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 36 (จปร.36) เส้นทางชีวิตราชการ เติบโตในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 เชี่ยวชาญงานยุทธการ และคุมหน่วยคุมกำลังสำคัญในพื้นที่มาแทบทุกหน่วย
เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 15 จ.นครศรีธรรมราช เป็นผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 46 จ.นราธิวาส เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 5 จ.สงขลา และสตูล
ขึ้นเป็น รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ อ.เทพา จ.สงขลา ก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 รับผิดชอบ 14 จังหวัดภาคใต้ และเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 จ.นครศรีธรรมราช
พล.ท.ไพศาล ถูกจับตาตั้งแต่ก้าวขึ้นเป็น มทภ.4 ว่าจะแก้ไขปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ถอนกำลังทหารนอกพื้นที่ และยกเลิกกฎหมายพิเศษทั้งหมดภายในปี 2570 หรือไม่
ทว่า สถานการณ์“ไฟใต้” ในปัจจุบันนอกจากไม่มีทีท่าจะหมอดลงแล้ว กลับถูกกระพือด้วยเหตุรุนแรงในพื้นที่ ส่วนรัฐบาลเหมือนเสียขบวน ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป ขณะที่ระดับปฏิบัติขาดเอกภาพในการทำงานการแก้ปัญหาทุกอย่างจึงเป็นไปตามเนื้อผ้า