บทสรุปปมชั้น 14 'ทักษิณ' ศาลต้องมีคำตอบให้สังคม

บทสรุปปมชั้น 14 'ทักษิณ' ศาลต้องมีคำตอบให้สังคม

จับประเด็นร้อน บทสรุปปมชั้น 14 "ทักษิณ" ศาลต้องมีคำตอบให้สังคม

พลันศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นครั้งที่ 3 และนัดไต่สวนคดีเองในวันที่ 13 มิถุนายน 2568

ปม “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็กลับมาระอุเดือดขึ้นอีกครั้ง

ทั้งยังน่าสนใจว่า จุดจบของเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร?

ทั้งนี้ ศาลฯพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ผู้ร้อง(ชาญชัย) ไม่ใช่คู่ความในคดี และไม่ใช่ผู้เสียหายของคดีดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลนี้

แต่ศาลฯ มีคำสั่งให้ไต่สวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยระบุ อยู่ในอำนาจศาลตาม พ.ร.ป.วิธีพิจารณาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

อีกทั้ง เมื่อความปรากฏต่อศาล และปรากฏในสื่อต่างๆ ว่าอาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้

ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรให้ส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลย แล้วให้โจทก์และจำเลยแจ้งต่อศาลว่า มีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้องหรือไม่ อย่างไร

ที่น่าสนใจ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(3 พ.ค.68) ระบุถึงคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยศาลมีคำสั่งให้โจทก์, จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร), ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ชี้แจงพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง เพื่อพิจารณาว่ามีการจำคุกจำเลยตามหมายจำคุกถึงที่สุดของศาลแล้วหรือไม่

ศาลยังได้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 09.30 น.

หลังโพสต์ดังกล่าว มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งสอบถามในช่องแสดงความคิดเห็นว่า “ในวันนัดไต่สวน จำเลยต้องเดินทางมาศาลหรือไม่ครับท่านอาจารย์”

“ชูชาติ” ตอบว่า “ถ้าดูตามคำสั่งศาลในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 จำเลยไม่ต้องไปศาลครับ” ก่อนอธิบาย เพิ่มเติมว่า “ผมเห็นว่า เพียงแต่อ่าน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์, กฎกระทรวงที่ออกตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และ ป.วิอาญา มาตรา 246 ก็วินิจฉัยได้แล้วว่า การกระทำของผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ผ่านมาชอบด้วยกฎหมายและมีอำนาจกระทำได้หรือไม่ครับ”...

เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่ “ชูชาติ” เสนอแนะให้อ่าน “แก้วสรร อติโพธิ” นักวิชาการอิสระ เคยแพร่บทความ อำนาจศาลยุติธรรม ใน “คดีไต่สวนชั้น 14” (29 เม.ย. 2568) ในรูปแบบถาม-ตอบ เอาไว้อย่างน่าสนใจ

โดยตอนหนึ่งระบุว่า “...ถาม ในการตรวจสอบครั้งนี้ศาลจะยึดกฎหมายฉบับใดเป็นฐาน จะยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ป.วิอาญา) หรือตามกฎหมายราชทัณฑ์ครับ

ตอบ ศาลต้องยึดทุกอย่างที่เป็นกฎหมาย ถ้ากฎหมายทั้งสองขัดแย้งกันในเรื่องใด ศาลต้องวินิจฉัยเองว่ากฎหมายใดใช้บังคับได้ ดังปรากฏข้อพิจารณาไปโดยลำดับ ดังนี้

ปัญหาการนับระยะเวลาคุมขัง ถาม นักโทษเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลนอกเรือนจำ อย่างกรณีทักษิณนอนชั้น ๑๔ รพ.ตำรวจนี้ ถ้าศาลออกหมายขัง ๑ ปี แล้วทักษิณนอนมาหกเดือนแล้ว ขอถามว่าเวลานอนป่วย ๖ เดือนนี้ เราจะนับเป็นเวลาคุมขังหรือไม่ครับ

คำตอบ จากกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตอบ ปี ๒๕๕๐ รัฐสภาตรากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ ระบุไว้ว่า

มาตรา ๒๔๖ เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้

(๑) เมื่อจำเลยวิกลจริต (๒) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก (๓) ถ้าจำเลยมีครรภ์ (๔) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น

ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้นศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่ง

ลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนี หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย

เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสาม หรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา

ด้วยความตามมาตราข้างต้น การนำนักโทษไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องทำโดยคำสั่งศาล และจะถือระยะเวลานี้เป็นเวลาที่ถูกคุมขังไม่ได้ เพราะเป็นเพียงการทุเลาไม่บังคับตามหมายด้วยเหตุเจ็บป่วยเท่านั้น

ถาม หมายความว่า หาก ผบ.เรือนจำกับ รพ.ตำรวจ เห็นว่าต้องรับตัวทักษิณไว้รักษา ด้วยเหตุจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ก็ต้องรับไว้ให้นอนโรงพยาบาลก่อน แล้วรีบขอคำสั่งศาลให้อนุมัติและทุเลาการลงโทษใช่ไหมครับ

ตอบ ครับ พอศาลสั่งแล้ว ทักษิณก็นอนต่อไปตามเดิม แต่การนับโทษจะหยุดนับทันที หายดีเมื่อไหร่ก็กลับเข้าเรือนจำแล้วเริ่มนับโทษที่เหลือต่อไป

ถาม หากถือหลักว่า นักโทษติดคุก “ต้องติดจริงๆและติดให้ครบ” อย่างนี้แล้ว ในเมื่อวันนี้ทักษิณยังไม่ติดคุกเลย ศาลก็ต้องจัดการให้กลับไปติดให้ครบ ๑ ปี ใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องป่วยจริงหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่ประเด็นในคดีอีกต่อไป

ตอบ ยังไม่แน่ครับ เพราะวันนี้ยังมี พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ให้คำตอบไว้อีกอย่าง

คำตอบจาก พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐ มาตรา ๕๕ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ๒๕๖๐ ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ

ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่า ผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่า มีความผิดฐานหลบหนี ที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา

ถาม แสดงว่า กฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา ๕๕ วรรคสอง ถือว่าการรักษาตัวของทักษิณที่ชั้น ๑๔ นั้นมีฐานะเป็นการคุมขัง ดังนั้นเวลา ๖ เดือนที่นอนชั้น ๑๔ จึงนับว่าทักษิณได้ต้องโทษมา ๖ เดือนแล้ว อย่างนั้นหรือ

ตอบ เป็นเช่นนั้นครับ เห็นได้เลยครับว่า เรื่องนับเวลานี้ทั้ง ป.วิอาญา และ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์บัญญัติขัดกันชัดเจน และต่างก็เป็นกฎหมายระดับ พ.ร.บ.เหมือนกัน มีศักดิ์เท่ากัน เสียด้วย กรณีจึงเกิดปัญหาว่าเราจะต้องใช้กฎหมายใดเป็นฐานในคดีนี้

สำหรับผมเองเห็นว่า พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ บัญญัติขึ้นมาภายหลัง ดังนั้นต้องถือว่ารัฐสภาได้ยกเลิก มาตรา ๒๔๖ แห่ง ป.วิอาญาไปแล้ว ถ้ามองอย่างนี้ ศาลอาจถือมาตรา ๕๕ นี้เป็นฐานกฎหมายในคดีก็ได้...”

ด้าน “ดร.ณัฏฐ์” ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณีศาลฯยกคำร้องของ “ชาญชัย” ว่า เกมทางกฎหมายจบลงแล้ว เพราะศาลได้ยกคำร้องในประเด็นสำคัญว่า ผู้ร้องมิใช่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดี

“ดร.ณัฏฐ์” อธิบายว่า หลักสิทธิในการร้องต่อศาล ต้องเป็นผู้เสียหายหรือมีส่วนได้เสียโดยตรง หากเปิดทางให้บุคคลทั่วไปเข้ายื่นคำร้องในคดีอาญาที่สิ้นสุดแล้ว อาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อกระบวนการยุติธรรม

“แม้ศาลจะมีอำนาจไต่สวนเมื่อ ‘ความปรากฏแก่ศาล’ แต่ก็เป็นเพียงการใช้ดุลยพินิจเพื่อความสมบูรณ์ของกระบวนการ ไม่ใช่การเปิดเกมใหม่ทางกฎหมาย”

ดร.ณัฏฐ์ กล่าวย้ำว่า การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดตามระบบไต่สวน พิจารณาทุกข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึกหรือคำกล่าวหาจากบุคคลภายนอก

“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ด้วยว่า ในคดีที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือการบังคับโทษ การดำเนินการทั้งหมดอยู่ในอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีกฎหมายกำหนดว่า ไม่สามารถบังคับโทษทางอาญาในคดีเดียวกันซ้ำอีกได้ เป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญาและสิทธิมนุษยชนสากล

ในส่วนที่สังคมเคลือบแคลงว่า นายทักษิณ ชินวัตร ถูกจำคุกจริงหรือไม่ “ดร.ณัฏฐ์” ระบุว่า เป็นเรื่องที่ ต้องฟังจากพยานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง และชี้ชัดว่า ไม่มีแนวโน้มที่เจ้าหน้าที่ระดับผู้บัญชาการเรือนจำ หรือแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ จะกล่าวยืนยันในทางให้ผลร้ายแก่ตนเองหรือหน่วยงานรัฐ หากไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ

นอกจากนี้ “ดร.ณัฏฐ์” ยกคำวินิจฉัยเดิมของศาลว่า การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ เป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลในการตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติถูกหรือผิด เพราะเป็นคนละเขตอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก

ที่สำคัญ “ดร.ณัฏฐ์” ชี้ว่า ศาลย่อมรับฟังถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นหลัก “เพราะไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายใด” โดยเฉพาะเมื่อมีเอกสารยืนยันจากเรือนจำ และการออกหนังสือรับรองการพ้นโทษของนายทักษิณแล้ว ยิ่งทำให้โอกาสที่ศาลจะ ยกคำร้องอีกครั้งมีสูงมาก

และยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ระบุว่า ตนเคยไปพบนายทักษิณและเห็นว่าไม่ได้ป่วยจริง ว่า “ท่านไม่ได้จบแพทย์ และไม่ใช่ผู้รักษา จะมาให้ความเห็นทางการแพทย์ย่อมไม่มีน้ำหนักเท่าแพทย์ที่รับผิดชอบโดยตรง”....(ไทยโพสต์/1 พ.ค. 2568)

ประเด็น ก็คือ เนื่องจากกรณี “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของ “ทักษิณ” ยังไม่มีคำตอบที่ชัดแจ้ง และเป็นที่สุด ว่า “ป่วยจริง” หรือไม่ กระบวนการส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” จะต้องมีคำตอบให้สังคมและประชาชนกระจ่างแจ้ง อย่างมีเหตุผลรองรับ

ส่วนจะ “ออกหัว-ออกก้อย” อย่างไร ก็อยู่ที่ศาลฎีกาฯจะเป็นผู้ตัดสินนั่นเอง