สิงคโปร์ยุบสภา ประเทศไทยไม่ไหวอย่าฝืน

นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่องของสิงคโปร์ ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 15 เมษายน และจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤษภาคม

เขาประกาศชัดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อเป็นการขอฉันทามติจากประชาชนสิงคโปร์ว่าจะยอมให้รัฐบาลภายใต้การนำของเขา เดินหน้าแก้ปัญหาสงครามการค้าที่เกิดจากการขึ้นภาษีตอบโต้อย่างบ้าคลั่งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตามวิธีการของเขาหรือไม่

เมื่อทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้ในวันที่ 2 เมษายน โดยสิงคโปร์โดนภาษีไปเพียง 10% นั้น นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้ออกมาปราศรัยกับประชาชนให้พร้อมรับผลกระทบครั้งนี้

ในการประชุมสภา นายกหว่องยังมีท่าทีแข็งกร้าวกับนโยบายของทรัมป์โดยประกาศว่าสิงคโปร์รู้สึกผิดหวังต่อการกระทำของสหรัฐ

แถมยังกล่าวตำหนิว่าสหรัฐเป็นหัวหอกในการค้าเสรีมาตลอด ทั้งมีบทบาทผลักดันให้เกิด WTO แต่กลับเป็นผู้ทำลายการค้าเสรีด้วยมาตรการภาษีตอบโต้ครั้งนี้ จีดีพีของสิงคโปร์จะลงไปที่ 2% จากเดิมที่คาดไว้ 3% 

ใครที่ได้ฟังการปราศรัยสั้นๆ ที่นายกหว่องมีต่อประชาชนของสิงคโปร์ ชัดเจนและเต็มไปด้วยการเตือนภัยให้ประชาชนพร้อมรับมือกับผลกระทบที่รุนแรง

คลิปการประชุมสภาของสิงคโปร์ก็เช่นกัน แสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องตึงเครียดและมีมาตรการออกมาพร้อมที่จะรับมือกับปัญหา แม้ว่าหลายคนจะมองว่าสิงคโปร์โดนภาษีแค่ 10%

แต่ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งสถานะของสิงคโปร์ที่พึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ย่อมไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากผลกระทบครั้งนี้ 

การยุบสภาของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นการพยายามหาฉันทมติจากประชาชนว่าจะเห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาของเขาและคณะรัฐมนตรีของเขามากน้อยเพียงใดแล้ว ยังเป็นการฉกฉวยโอกาสจากวิกฤต

เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่ารัฐบาลของเขาเข้าใจวิกฤตครั้งนี้ และพร้อมจะเข้ามามีบทบาทเต็มที่ในการหาทางออกให้ประเทศ

เพราะนายกฯ หว่องย่อมรู้ดีว่า จำนวนเสียงของฝ่ายค้านที่แม้ไม่อาจเทียบได้กับเสียงของฝ่ายรัฐบาลที่นำโดยพรรคกิจประชาชน (PAP) ของเขา แต่จำนวนที่นั่งของฝ่ายค้านก็เพิ่มมากขึ้นจากเพียง 2 ที่นั่งเมื่อ 20 ปีก่อนมาเป็น 10 ที่นั่งในปัจจุบันซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม

การยุบสภาในช่วงนี้จึงย่อมเป็นการฉกฉวยคะแนนบนความกังวลใจของชาวสิงคโปร์ 

เปรียบเทียบกับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีไทยยังไม่เคยแสดงออกถึงความวิตกทุกข์ร้อนแม้จะบอกว่าเตรียมการเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้วด้วยการตั้งคณะกรรมการขึ้นมารับผิดชอบแล้ว แต่ก็แค่ลมปากที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

ภาพและคลิปที่ออกมาระหว่างการเล่นน้ำสงกรานต์ของนายกฯ ก็ไม่ต่างกับเด็กวัยรุ่นรักความสนุกมากกว่าคนที่พร้อมจะแบกภาระอันหนักหน่วงของประเทศนี้

ทำให้เกิดคำถามว่าขณะที่ประเทศต่างๆ วิตกทุกข์ร้อนดิ้นรนหาทางออกและหาทางเจรจากับสหรัฐ ประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐถึง 20% และอยู่ในรายชื่อต้นๆ ที่เกินดุลการค้าสหรัฐ แถมโดนภาษีไป 36%

ทำไมผู้นำยังมีแก่ใจไปเล่นน้ำ เหตุใดไม่สำเหนียกว่าไทยจะเจอวิกฤตยิ่งกว่าสิงคโปร์ เพราะปัญหาซับซ้อนกว่า โครงสร้างอุตสาหกรรมล้าหลังกว่า คนยากจนกว่า และจะโตแค่ 1% หรือต่ำกว่าในปีนี้

สิ่งที่นายกฯ น่าจะมีเป็นพื้นฐานคือ การรู้ความก่อนหลังของปัญหาและสถานการณ์ พึงจะต้องรู้ว่าอะไรเร่งด่วน อะไรคือความสำคัญและต้องลงมือจัดการต้องทำงานให้ประชาชนเห็นแม้ว่าจะเป็นวันหยุดยาว

นายกฯ ควรจะแสดงความเข้าใจปัญหาและสื่อสารถี่ๆ เมื่อมีโอกาสเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อม บอกถึงยุทธศาสตร์และนโยบายทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ว่ารัฐบาลจะทำอะไร

เพราะศึกครั้งนี้คือการพลิกโลกและไทยต้องเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอย่างมโหฬารถึงจะเอาตัวรอดได้ 

วันนี้ประชาชนคนไทยยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเดินเกมในเรื่องนี้ชัดๆ อย่างไร แม้การจะออกมาพูดกับประชาชนให้เตรียมพร้อมกับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างที่นายกสิงคโปร์ทำก็ยังไม่มี

นายกฯ พูดอะไรเรื่องนี้กับนักข่าวก็เป็นไปอย่างผิวเผิน เหมือนคนไม่ทำการบ้าน โดนคำถามหนักๆ ก็พูดออกทะเลไปเลย

ดังนั้น ควรจะถึงเวลาที่นายกฯ ต้องตัดสินใจ ท่ามกลางความไม่รู้เรื่องและมืดมนหนทางในฐานะผู้นำก็น่าจะยุบสภาเพื่อหาฉันทามติว่าประชาชนเขาพอใจที่จะมีนายกฯ แบบนี้ต่อไปไหม การปรับรัฐมนตรีไม่ช่วย เพราะคุณภาพคนในพรรคเป็นที่รู้ๆ กันอยู่

เหตุผลที่สองคือ พรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้รักใคร่ใยดีนายกฯ บรรดารัฐมนตรีที่มายืนเป็นวอลล์เปเปอร์นั้นดูสีหน้าก็รู้ชัดว่ามีแต่ความหนักใจที่จะต้องคอยลุ้นว่านายกฯ เจนวายที่ยืนข้างหน้านั้นจะไหวไหม จะพลาดพลั้งกับคำถามจนเสียรังวัด

หรือมีประเด็นให้ได้ไปขบขันกันต่อหรือไม่ นี่เป็นอีกเหตุที่นายกฯ ควรยุบสภาจะได้พิสูจน์ว่าประชาชนจะเลือกใครระหว่างพรรคของนายกฯ กับพรรคร่วม จะได้ตัดความรำคาญพรรคร่วมที่ไม่ได้รักจริง

อีกเหตุผลของการยุบสภาคือ จะได้มีโอกาสประกาศนโยบายในการหาเสียงไปเลยว่าพ่อนายกฯ จะกลับมาแบบเต็มตัว จะมาควบคุมรัฐบาล จะมากำกับและชี้นำทุกกระทรวง เอากันให้ชัดๆ

ไม่ต้องปิดๆ บังๆ อ้อมแอ้ม ให้ประชาชนรู้ชัดๆ ว่าเลือกพรรคนายกฯ จะได้ทั้งพ่อและลูกแบบเต็มๆ ไม่มีเหนียมอาย นอกจากนั้นนโยบายอะไรที่คราวก่อนไม่ได้หาเสียงไว้อย่างเช่น กาสิโนหรือซื้อหนี้ครัวเรือน จะได้เอามาหาเสียงให้แจ่มแจ้ง 

เหตุผลสุดท้าย สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ทั้งในทางนโยบาย ความสามารถ สติปัญญา ภาวะผู้นำ และอื่นๆ อีกมากมาย ควรที่นายกฯ จะพิสูจน์ตัวเองด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

หากเสียงกลับมาท่วมท้นจะได้เป็นการปิดปากเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลายว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นอย่างที่สื่อมวลชนและนักวิชาการวิจารณ์

แม้กว่าครึ่งปีที่ผ่านมาจะไม่สามารถพิสูจน์ถึงความสามารถใดๆ ของนายกฯ ได้ แต่หากยุบสภาเลือกตั้งใหม่เกิดจริง อย่างน้อยก็จะบอกกับชาวโลกได้ว่านายกฯ พอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง ก็พอจะเป็นบุญกับประเทศบ้าง.