จับตา ปรับครม.-ยุบสภา รัฐบาลพร้อมไปสู่จุดไหน?

ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาล นำไปสู่คาดการณ์ว่า สถานการณ์การเมืองช่วงหลังสงกรานต์เป็นต้นไป “ปรับครม.” หรือ “ยุบสภา”
จะมีคำตอบที่ชัดเจน ให้กับสองกระแสอย่างแน่นอน คือ “ปรับครม.” หรือ “ยุบสภา” จะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร?
คนแรกที่ปลุกกระแสร้อน “ยุบสภา” ก็คือ ภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 กล่าวทิ้งท้ายในวันสุดท้ายของสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
“อาจจะไม่มีสมัยประชุมฯหน้า”
เรื่องนี้ แม้ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะกล่าวว่า ไม่ได้ยิน และไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของนายภราดร และก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันด้วย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธจริงจัง ทำให้ทุกอย่างยังคงค้างคาใจผู้คนว่า อาจเกิดขึ้นได้
กระนั้น “เสี่ยหนู” อนุทิน ยังเชื่อมั่นว่า มีทางออกที่ดีกว่า “ทุกอย่างพูดคุยกันได้หมด และนายกรัฐมนตรีบอกแล้ว ว่า จะใช้เวลาพูดคุยกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น และทุกครั้งที่มีการหารือกับนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีอะไรที่ตกลงกันไม่ได้ ไม่มีความขัดแย้งใดๆกัน เมื่อนายกฯเชิญหารือทุกคนก็พยายามทำทุกอย่าง ร่วมมือให้สำเร็จตามนโยบาย”
เมื่อถามว่า การเมืองหลังสงกรานต์จะชุ่มฉ่ำหรือร้อนแรง “อนุทิน” กล่าวว่า ไม่ร้อนแรงอะไร ทุกอย่างมีเหตุมีผล มีการพูดคุยหารือกัน ทุกอย่างจะมีทางออก ซึ่งที่ผ่านมาก็จะมีทางออกร่วมกัน
ส่วนกระแส “ปรับครม.” นอกจากต้องการปรับเปลี่ยนเกมแก้เศรษฐกิจแล้ว อีกด้านหนึ่ง เชื่อว่ามาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยด้วย
เรื่องเศรษฐกิจ มีการวิเคราะห์กันว่า ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ สทร. ต้องการเรียกคะแนนนิยมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นกลับคืนมาโดยเร็ว หลังจากรัฐบาลไม่สามารถโชว์ผลงานได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่นโยบาย “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย อย่างแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็ยังไม่สำเร็จลุลวงด้วยดี
นัยว่า “ทักษิณ” วางแผนเปลี่ยนเกมด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งนโยบาย และ “รัฐมนตรี” ที่จะมากำกับดูแล
โดยเฉพาะนโยบายแก้หนี้ภาคประชาชน ที่ “ทักษิณ” ไปพูดกับคนเสื้อแดง จ.พิษณุโลก ว่า “จะประกาศนโยบายเศรษฐกิจอันใหม่ ซึ่งคิดกันกับ น.ส.แพทองธาร ว่า ทำอย่างไรจะให้หนี้สินคนไทยหมด เพราะวันนี้หนี้ครัวเรือนเยอะเหลือเกิน จึงคิดกันว่าจะซื้อหนี้ทั้งหมด โดยการซื้อหนี้ของประชาชนออกจากระบบธนาคารดีหรือไม่ แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน แล้วให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่องทำมาหากินใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท”
ขณะรายชื่อ “รัฐมนตรี” ที่ถูกปล่อยออกมาว่า อาจมีการเปลี่ยนตัว คือ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และ “พิชัย นริพทะพันธุ์” รมว.พาณิชย์ ที่เคยถูกส.ส.พรรคเพื่อไทย ซักฟอกกลางวงประชุมส.ส.มาแล้ว
ยิ่งกว่านั้น วิเคราะห์กันถึงขั้นว่า มีการวางตัว “นายแบงก์” คนดัง จ่อที่จะเสียบแทนเอาไว้แล้ว
ในทางการเมือง ต้องยอมรับว่า เกมระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย มีการสร้างอำนาจต่อรองกันมาตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับขัดแย้งรุนแรง และสามารถเคลียร์ปัญหากันได้ อย่างที่ “อนุทิน” กล่าว
แต่ล่าสุด กรณีคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มี “กาสิโน” 10% รวมอยู่ด้วย ของไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ทำเอาหลายคนสะดุ้งไปตามๆกัน
“ผมนายไชยชนก ชิดชอบ ลูกชายคนโตของนายเนวิน และนางกรุณา ชิดชอบ ผมเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน และไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ทุก ๆ พ.ร.บ.หลังจากนี้ แม้กระทั่ง พ.ร.บ.ของพรรคภูมิใจไทย ที่เราคิดขึ้นมาแล้วนำเสนอเพื่อประโยชน์ของประเทศไทย ผมก็จะไม่พิจารณา สำหรับผมและทุกอย่างที่ผมได้ศึกษามา มันมีเรื่องเร่งด่วนที่ด่วนกว่ามหาศาล” เขาประกาศกลางสภาฯ (9เม.ย.68)
ไม่เพียงเท่านั้น สื่อบางสำนักรายงานว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่สัญญาณการต้านกฎหมายกาสิโน ดังขึ้นในห้องประชุมสภาผู้แทนฯ ทว่าก่อนหน้านี้ 5 วัน ฐานที่มั่นค่ายการเมืองสีน้ำเงิน สนามช้าง จ.บุรีรัมย์ ได้ยินเสียงดังก้องจาก “พ่อ” ของไชยชนก ถึงหูชนชั้นระดับไฮคลาสของสังคมไทย ด้วยวรรคทองที่ว่า
“การเสนอกฎหมายให้อำนาจท้องถิ่น คงไม่เร่งด่วนเท่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์… เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะไม่มีคนค้าน เพราะเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจประชาชนโดยตรง”
นี่คือ สัญญาณการเมืองภายในรัฐบาล ที่หลายคนต่างจับจ้องว่า “จุดจบ” ของเรื่องจะลงเอยอย่างไร?
แต่ถ้ามองในฐานะนักวิเคราะห์สายตาคนนอก อย่าง เทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส. นครศรีธรรมราช เชื่อว่า จะมีการ “เอาคืน” จาก “นายใหญ่” แน่นอน
“เทพไท” โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ทักษิณเอาคืนเนวิน?” ระบุว่า การที่ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศจุดยืนไม่เอากาสิโนกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นการฉีกหน้านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบบชัดๆเต็มๆ ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียรังวัด และโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
เห็นจากท่าที ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาถามว่า ระหว่าง อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับ ไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคจะเชื่อใคร และการที่นายไชยชนก บอกว่า เป็นลูกนายเนวิน นางกรุณาต้องการสื่ออะไร อดิศร เพียงเกษ ส.ส.อาวุโส ได้เขียนกลอนไล่ส่งพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องรักษามารยาททางการเมืองบ้าง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนนายใหญ่ ที่เก็บตัวเงียบไม่แสดงท่าทีใด
แม้ว่า อนุทินได้ออกมาขอโทษต่อนางสาวแพทองธารแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจ เป็นรอยร้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ยากที่จะประสาน เหมือนกับคำโบราณที่กล่าวว่า อันถ้วยโถโอร้าวเอากาวติด ถึงสนิทก็ยังเห็นว่า เป็นแผล เชื่อว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์นี้ผ่านพ้นไปแล้ว จะมีการเอาคืนจากทักษิณอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะมีปรากฏการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้น คือ
1.ทักษิณต้องทำความเข้าใจกับหัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้ชัดเจนว่า จะทำงานทางการเมืองร่วมกัน และประสานประโยชน์กันอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากัน
2.จะมีการปรับครม.หรือปรับพรรคร่วมรัฐบาลออก ยึดกระทรวงหลักกลับมาเป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย เพื่อกระชับอำนาจ เตรียมการรับมือกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
3.ถ้าหากสถานการณ์ทางการเมืองเดินมาถึงทางตัน จำเป็นต้องยุบสภา คืนอำนาจกับประชาชน เป็นการล้มกระดาน หรือล้างไพ่ใหม่
ขอให้จับตาดูปรากฏการณ์ทางการเมืองหลังสงกรานต์นี้ให้ดีว่า จะเดินไปสู่ 3 ขั้นตอนนี้หรือไม่ และทักษิณจะเอาคืนพรรคภูมิใจไทยอย่างไร.
มาถึงตรงนี้ ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ ความเป็นไปได้ที่จะ “ปรับครม.” หรือ “ยุบสภา” อะไรเป็นไปได้มากที่สุด
เริ่มจากการ “ปรับเล็ก” โดยพรรคเพื่อไทย อาจมีการปรับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เป็นหลัก ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล ก็ปรับตามแต่ละพรรคจะเสนอใครมาเป็นรัฐมนตรีใหม่หรือไม่ ซึ่งส่วนนี้ อาจมีการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีที่ถูกวางตัวเอาไว้ และอาจช่วยลดปัญหาขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลลงก็ได้
แต่ถ้า “ปรับใหญ่” ถึงขั้น เอาพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย ออกจากรัฐบาล ถ้าดูตัวเลขส.ส.แล้ว ดูเหมือนทำได้ยาก หรือ ถึงแม้ทำได้ก็เสี่ยงที่รัฐบาลจะไปไม่รอด เพราะเสียงจะปริ่มน้ำทันที
ลองนึกดู ถ้าเอาตัวเลข 69 ของส.ส.พรรคภูมิใจไทย ลบออกจาก 321 เสียงของส.ส.รัฐบาลทั้งหมด ก็จะเหลือ 252 เสียง ขณะเดียวกัน เอา 69 บวก 171 เสียงของฝ่ายค้านทั้งหมด ก็จะมีเสียงเพิ่มขึ้น 240 เสียง อย่างนี้ถือว่า ฝ่ายค้านเข้มแข็งขึ้นมาทันควัน ซึ่งเป็นอะไรที่ “ทักษิณ” ไม่ชอบ
ยิ่งถ้าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค มีการตีรวนต่อรองขึ้นมา อีก ขณะที่รัฐบาลต้องการเสียงสนับสนุนเพื่อผ่านกฎหมาย หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในสภาฯ รัฐบาลก็จะไม่มีทางเลือกที่ต้องทำตาม หรือตกเป็นเบี้ยล่าง
เพราะฉะนั้นมีทางเลือกเดียว ที่จะทำให้รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ ก็คือ ปรับเอาพรรคประชาชนเข้าร่วมรัฐบาล โดยที่ไม่สนใจว่า จะมีพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ยังร่วมรัฐบาลอยู่หรือไม่ เพราะยังติดเงื่อนไข ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายแก้ม.112
แต่ถ้าทำแบบนี้ แม้รัฐบาลเพื่อไทย จะมีเสียงในสภาฯถึง 285 ที่นั่ง เป็นอย่างน้อย(รวมแค่ 2 พรรค) แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องรับแรงกระแทกทันควันก็คือ การเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “ขั้วอนุรักษ์” จะยอมรับได้หรือไม่?
ดังนั้น หลังสงกรานต์ สิ่งที่คอการเมืองจะต้องจับจ้องเป็นพิเศษก็คือ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคภูมิใจไทย ทางออกจะเป็นอย่างไร คลี่คลายลงหรือไม่
ประการต่อมา การ “ปรับครม.” หรือ “ยุบสภา” จะเป็นไปตามกระแสข่าวหรือไม่ อะไรก่อน อะไรหลัง?
เหนืออื่นใด ความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน







