ศึกโชว์ฝีปาก 'ปชน.' ท่ามกลางมรสุมคดี 44 สส.

ศึกโชว์ฝีปาก 'ปชน.' ท่ามกลางมรสุมคดี 44 สส.

คาดว่า การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คงจะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ หลังพรรคประชาชน ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เตรียมยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 กุมภาพันธ์

ดังนั้น ไม่เพียงสภาพอากาศที่ร้อนระอุอยู่แล้ว หากแต่ทางการเมืองก็จะระอุเดือดไม่แพ้กัน ส่วนจะปรอทแตก หรือไม่ แค่ไหน ต้องดูที่ปัจจัยแวดล้อม ความพร้อมของฝ่ายค้านที่จะถล่มรัฐบาลด้วยเช่นกัน

สำหรับรัฐมนตรี รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีแพลมชื่อออกมาแล้วหลายคน จากที่มีข่าวว่า จะถูกซักฟอกถึง 10 คน โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม เป็นหลัก

เริ่มจาก “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกจองกฐินในเรื่อง “วุฒิภาวะของผู้นำ” โยง “ทักษิณ ชินวัตร” ประเด็นบริหารประเทศใต้เงาของบุคคลภายนอก

ขณะที่ รัฐมนตรีด้านความมั่นคง หนีไม่พ้น “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะถูกหยิบประเด็น การบริหารจัดการปัญหาภายในและการใช้ทรัพยากรด้านความมั่นคงมาเชือด

ด้านรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจและสังคม คาดกันว่าฝ่ายค้านลับฝีปากมาเป็นอย่างดี และจะถูกอภิปรายหนักในประเด็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เป้ากระสุนตกคือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องตอบคำถามเกี่ยวกับความล่าช้าและความไม่ชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

 คนต่อมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะถูกอภิปรายในประเด็นค่าพลังงานที่สูงกระทบค่าครองชีพประชาชน และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่จะถูกซักฟอกในกรณีการบริหารประกันสังคมซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่า ถ้าวัดกันที่เสียงรัฐบาล กับฝ่ายค้าน ตัวเลขส.ส.ทั้งสองฝ่ายจะเป็นคำตอบได้ดี ว่าผลการลงมติไม่ไว้วางใจจะออกมาอย่างไร

นั่นคือ รัฐบาลมีเสียงรวมประมาณ 321 เสียง ได้แก่

  • พรรคเพื่อไทย 142 เสียง
  • พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
  • พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง
  • พรรคกล้าธรรม 24 เสียง
  • พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
  • พรรคประชาชาติ 9 เสียง
  • พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง
  • พรรคไทยรวมพลัง 2 เสียง
  • พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง

ด้านฝ่ายค้านมีเพียง 172 เสียง คือ

  • พรรคประชาชน 143 เสียง
  • พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง
  • พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง
  • พรรคเป็นธรรม 1 เสียง
  • พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง
  • พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง

ประเด็นก็คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง”ครั้งนี้ ยากที่พรรคฝ่ายค้านจะ “ล้มรัฐบาล” ได้ ด้วยเสียงของฝ่ายค้านเอง ส่วนจะมีเสียงส.ส.รัฐบาลบางพรรค สวนมติพรรคหรือไม่ ก็นับว่ายากเช่นกัน เพราะถ้าดูจากปัญหาภายในรัฐบาล ยังไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกันรุนแรง จนขั้นแตกหัก

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแทบจะฟันธงล่วงหน้าได้เลยว่า ศึกครั้งนี้ ฝ่ายค้านทำได้ดีที่สุด แค่ “โชว์วิวาทะ” ทางการเมือง ใช้ข้อมูลที่อยู่ในกระแสความสนใจเชือดเฉือน เรียกคะแนนนิยม โดยส.ส. “ฝีปากกล้า” บางคน และ “ส.ส.ดาวเด่น” เจ้าประจำของพรรคประชาชน หรืออย่างดี คะแนนไว้วางใจ ที่ออกมาของแต่ละคน อาจสะท้อนผลกระทบจากการอภิปรายฯเท่านั้นเอง

ขณะเดียวกัน แทนที่พรรคประชาชน แกนนำพรรคฝ่ายค้าน จะมีสมาธิกับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเพียงอย่างเดียว และใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ในการสร้างความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านให้ประชาชนยอมรับ และศรัทธา

การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในท่ามกลางการทำศึกใหญ่กับรัฐบาล พรรคประชาชนยังมีศึกใหญ่ไม่แพ้กันกับองค์กรอิสระให้ห่วงหน้าพะวงหลัง กรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ออกหมายเรียก ให้อดีตส.ส.พรรคก้าวไกล 44 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมชี้แจงข้อกล่าวหา คดีอันเนื่องมาจากลงชื่อเสนอญัตติแก้ไข ป.อาญา ม.112 เข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกล ที่เสนอ แก้ไข ม.112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง ทั้งยังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง มีความผิดฐานใช้เสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

โดยเฉพาะ ถ้าเป็นไปตามความคิดเห็นของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มีสิทธิ์ถูกสอยยกพวง

 “เรืองไกร” เห็นว่า ตามหลักการของการเสนอญัตติในสภาผู้แทนราษฎร ต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คน ดังนั้นเมื่อจะกล่าวหา ก็ต้องกล่าวหารวมกัน และเมื่อจะชี้มูลความผิด ก็ต้องชี้เป็นกลุ่ม เพราะเป็นการกระทำร่วมกันในสภาผู้แทนราษฎร และในรายชื่อแนบท้ายญัตติ ก็ปรากฏชื่อทั้ง 44 ส.ส. ร่วมลงชื่อเสนอญัตติ ส่วนอีก 8-9 คน ในกลุ่มของนายคารม พรหมพรกลาง อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ไม่ได้ร่วมลงชื่อด้วย

“ยืนยันว่า ในการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหานั้น ต้องเรียกมาทั้งกลุ่ม โดยยกตัวอย่างคดีของนางนาที รัชกิจประการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่มีการเสียบบัตรแทนกัน ในกลุ่ม ส.ส. จำนวน 3 คน ซึ่งก็มีการฟ้องร้องรวมกันทั้ง 3 คนหรือเหมือนกรณีที่เราจับคนเล่นการพนัน ก็ต้องฟ้องกันทั้งหมด แม้กระทั่งคดีดิไอคอนเอง ก็ต้องดำเนินคดีรวมกัน โดยการเรียกสอบเป็นรายคน”

 ส่วนกรณีที่จะมีการกันคนใดคนหนึ่งเป็นพยานนั้น “เรืองไกร” เห็นว่า ถ้าพยานหลักฐานเพียงพอ ก็น่าจะทำได้ยาก ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการไปตามครรลองของกฎหมาย ท่านก็มีสิทธิต่อสู้ แต่อย่าลืมว่า นี่เป็นข้อหาจริยธรรม ซึ่งใช้คำตัดสินของศาลฎีกาเพียงชั้นเดียว ศาลเดียว และหากมีความผิดจริง ต้องเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองตลอดไป โดยจะอุทธรณ์ไม่ได้

 แม้ว่า ในแง่มุมวิเคราะห์ของนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช จะช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง โดยเขาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "เทพไท - คุยการเมือง" ระบุว่า... 44อดีตส.ส.ก้าวไกล หวยออก 3 ทาง

 สาระสำคัญ ระบุว่า ตอนนี้มี 44 อดีตส.ส.พรรคก้าวไกล ได้เดินทางเข้ารับฟังข้อกล่าวหากับ ป.ป.ช. เรื่องการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 บ้างแล้ว มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะรอดสักกี่คน จะโดนตัดสินทางการเมืองทั้งหมดหรือไม่

ในฐานะที่เป็นนักการเมืองคนหนึ่ง และพอจะมีความรู้ทางด้านกฎหมายอยู่บ้าง จะขอวิเคราะห์ผลการพิจารณา เรื่องข้อกล่าวหาของ 44 อดีตส.ส.พรรคก้าวไกล เป็น 3 แนวทาง คือ

1.ถ้ามีการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดเชื่อว่าอดีตส.ส. 44 คน น่าจะรอดหมด เพราะการลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติ ที่ส.ส.ทุกคนสามารถใช้สิทธิ์เสนอกฎหมาย และแก้ไขกฎหมายได้ ส่วนผลการแก้ไขนั้น จะผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ก็เป็นดุลพินิจของส.ส.ทุกคน การใช้สิทธิ์ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่เป็นความผิด

 2.ถ้ามีการตีความแบบกว้างจะต้องพิจารณาพฤติกรรมของ 44 อดีตส.ส.มาประกอบกับการลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย จะต้องพิจารณาดูถึงพฤติกรรมภายนอก ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็นมาตรา 112 ว่า ได้เข้าร่วมการชุมนุมหรือได้ขึ้นเวทีปราศรัยสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 อย่างไร และได้ใช้สิทธิ์ของส.ส. ประกันตัวผู้ต้องหาที่มีความผิดเกี่ยวกับคดีมาตรา112บ้างหรือไม่ ซึ่งจะนำเอาพฤติการณ์เหล่านี้ มาพิจารณาร่วมกับการลงชื่อการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ในสภาด้วย

3.ถ้าตีความกฎหมายเพื่อหวังผลทางการเมือง ตามธงของฝ่ายอนุรักษ์นิยมต้องการ ไม่จำเป็นต้องนำเหตุผลใดมาประกอบการพิจารณา สามารถตัดสินแบบเหมาเข่งว่า อดีตส.ส.ทั้ง 44 คน มีความผิดในการลงชื่อเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สามารถนำคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งผูกพันทุกองค์กรมาอ้างอิงได้เลย...

สรุปแล้ว อยู่ที่คณะกรรมการไต่สวนที่ ป.ป.ช.ตั้งขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ จะมีความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.อย่างไร และ “ป.ป.ช.” จะชี้มูลความผิดออกมาอย่างไร หรือไม่

 อะไรไม่สำคัญเท่ากับ ในจำนวน 44 อดีตส.ส.พรรคก้าวไกล ที่โดนคดีดังกล่าว มีอยู่ถึง 25 คนที่เป็นส.ส.ปัจจุบันของพรรคประชาชน รวมทั้งส่วนใหญ่เป็น “ส.ส.ตัวตึง” ของพรรคด้วย

นั่นหมายความว่า เพียงแค่ “ป.ป.ช.” ชี้มูลความผิด “เหมาเข่ง” และศาลฎีกา ประทับรับฟ้อง ส.ส.25 คนจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที และเท่ากับเสียงพรรคประชาชนในสภาฯ จะมี 143 เสียง ลบ 25 ทันทีเช่นกัน

มาถึงตรงนี้ สิ่งที่เห็นชัดที่สุด ในการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคประชาชน ก็คือ ความ “ไม่พร้อม” และ ภาวะ “ห่วงหน้าพะวงหลัง” เพราะไหนส.ส.จำนวนหนึ่งจะต้องเตรียมตัวเพื่อชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ซึ่งหลายคนอาจต้องใช้เวลา ค้นหาพยานหลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหาของ “ป.ป.ช.” ยิ่งหลายคนที่ว่า คือ “ดาวเด่น” หรือ “ตัวตึง” ในสภาฯ ที่จะขาดไม่ได้ และต้องซักซ้อมทำการบ้านเป็นอย่างดีด้วย ไม่ง่ายกับการทำ “ศึกสองด้าน”

มองในมุมนี้ ต่อให้พรรคประชาชน มีดีอย่างไร ก็ทำศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ได้แค่ “โชว์ฝีปาก” เท่านั้น? ส่วนที่จะหวังข้อมูลเบื้องลึก เบื้องหลัง ข้อบกพร่อง ความไม่ชอบมาพากลของรัฐมนตรีแต่ละคน มาเปิดแผลกลางสภาฯ ชนิดเหวอะหวะหมอไม่รับเย็บ คงยาก ด้วยการศึกที่ไม่พร้อมนั่นเอง