รัฐ... ล้มเหลว

รัฐบาลเพื่อไทยล้มเหลวจริงๆ กับงานความมั่นคง อย่างน้อยๆ 3 เรื่องด้วยกัน และหากปล่อยแบบนี้ต่อไป อาจทำให้รัฐไทย ในฐานะ “ประเทศ” กลายเป็น “รัฐล้มเหลว” ในความหมายของ Failed state จริงๆ ก็เป็นได้
พาดหัวคอลัมน์แบบนี้ ไม่ได้จงใจตีตราว่ารัฐไทย กำลังกลายเป็น “รัฐล้มเหลว” หรือ Failed state แต่ต้องการสื่อว่า รัฐบาลเพื่อไทยล้มเหลวจริงๆ กับงานความมั่นคง อย่างน้อยๆ 3 เรื่องด้วยกัน และหากปล่อยแบบนี้ต่อไป อาจทำให้รัฐไทย ในฐานะ “ประเทศ” กลายเป็น “รัฐล้มเหลว” ในความหมายของ Failed state จริงๆ ก็เป็นได้
เรื่องใหญ่ทางความมั่นคง 3 เรื่อง ที่รัฐบาลเพื่อไทยทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ก็คือ
1.ปราบยาเสพติด เพราะแต่งตัว และรำเซิ้งมาปีกว่าแล้ว ตั้งแต่รัฐบาลนายกฯเศรษฐา จนป่านนี้ยังมองไม่เห็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นความแตกต่าง แปลกใหม่ หรือยุทธศาสตร์โดนๆ ที่เห็นแล้วพูดได้ว่า...เอ้อ! มันต้องอย่างนี้
การแถลงที่โหมโรงว่า เป็นอีเวนต์ใหญ่ของนายกฯแพทองธาร คือ Seal Stop Safe ก็แทบไม่มีอะไรใหม่เลย เป็นเรื่องที่สำนักงาน ป.ป.ส. โดยกระทรวงยุติธรรม ภายใต้การกำกับของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ทำมาเป็นปีแล้ว โดยเฉพาะการซีลอำเภอชายแดนทั้งภาคเหนือและอีสาน กับการตัดวงจรขนส่ง และทำลายแหล่งพักยา
ส่วนยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ไม่มีปรากฏเลย เช่น การผลิตยาทดแทนยาบ้า การลดดีมานด์ เพิ่มซัพพลาย และกำหนดเป็นวาระแห่งชาติให้ “ผู้เสพคือผู้ป่วย อย่างแท้จริง เหมือน “โปรตุเกสโมเดล” ที่ชื่นชมกันทั้งโลก แต่ของบ้านเรายังลักลั่น ทำเป็นงานการเมืองกันอยู่
2.ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทา อาชญากรข้ามชาติ และเมืองเศรษฐกิจใหม่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
ความน่าอับอายและสะท้อนความอ่อนแอ ไม่เป็นขบวนของรัฐบาลมากที่สุด ก็คือ การตัดไฟที่หล่อเลี้ยงขบวนการผิดกฎหมายนอกประเทศไทย จนป่านนี้ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ มีแต่โยนกลองกันไปมา
เกิดคำถาม...แค่ตัดไฟ ใครไร้น้ำยา? เพราะผู้รับผิดชอบทั้งหมด ไม่ว่าจะฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายประจำ ล้วนบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ
ฯพณฯ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย อ้างว่า “มันมีเงื่อนไขในสัญญาขายไฟอยู่ ไม่ใช่ว่าฟังจากข่าวแล้วจะหยุดได้เลย ถ้าจะสั่งให้หยุด ก็ขอให้สั่งมาสิ”
ฯพณฯ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ บอกว่า “มีการหารือเรื่องการตัดไฟไปเมียนมา ส่วนจะมีการตัดสินใจอย่างไร อยากให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือในรายละเอียดก่อน…วางไทม์ไลน์ไว้ 1 เดือน” (ต้องถามคนไทยทั้งประเทศว่า ต้องการรอหรือไม่ และคิดอย่างไรกับคำตอบแบบนี้)
ท่านฉัตรชัย บางชวด เลขาฯ สมช. บอกว่า “สมช.ไม่มีอำนาจไปบอกว่าจุดไหนเป็นอันตรายกับประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามข้อกฎหมาย”
แต่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร คนไม่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ถูกมองว่าเป็นนายกฯตัวจริง ยืนยันว่า “สัญญา (ซื้อขายไฟ) สามารถยกเลิกได้ ถ้าสัญญานั้นนำไปใช้ในสิ่งไม่ถูกต้อง”
ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง แทนที่พวกท่านจะตอบแบบ “โยนกลองกันไปมา” แบบนี้ น่าจะมี “คนกล้า” สักคนหนึ่ง ออกมาบอกชัดๆ ว่าต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแล้ว เช่น ขอคำตอบจากรัฐบาลเมียนมา ตรวจสอบสัญญาอย่างเร่งด่วนว่า มีการนำไปขยายสัญญาย่อย เหมือนต่อสะพานไฟ หรือสร้างสถานีย่อย ต่อไปยังพื้นที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่ ถ้ามี…ก็งดจ่ายไฟจุดนั้นก่อนได้หรือไม่
หรืออย่างน้อยก็สำรวจว่าถ้าหยุดจ่ายไฟ จะกระทบกับวัด โรงเรียน โรงพยาบาล จนเกิดผลกระทบเชิงมนุษยธรรมบ้างหรือเปล่า
ตอบและทำแบบที่ว่านี้ คงน่าฟังกว่าตอบแบบ “โยนกลอง” หาคนรับผิดชอบไม่ได้
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ การปล่อยให้ “ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีน” ลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยไม่มีผู้รับผิดชอบที่เป็นฝ่ายการเมืองของไทยลงพื้นที่ด้วย เท่ากับโดนจีนตบหน้าฉาดใหญ่
ผู้ช่วยรัฐมนตรีรายนี้ คือ นายหลิว จงอี้ สถานะคือ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน ซึ่งสถานทูตจีนเคยให้ข้อมูลว่า กระทรวงนี้เทียบเท่ากระทรวงมหาดไทยของไทย บ้างก็ว่าสถานะพอๆ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ภาพที่ออกมากลายเป็นว่า จีนกำลังส่งคนเข้ามาตรวจงาน เข้ามาสั่งการให้ไทยแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์หรืออย่างไร
ที่น่าตกใจและกลายเป็นตลกร้ายก็คือ จนป่านนี้ยังไม่มีใครออกมาตอบได้ชัดๆ ว่า ใครเชิญ “ผู้ช่วยรัฐมนตรีจีน” รายนี้มาไทย เพราะ…
- รมว.ต่างประเทศ อ้างไม่ทราบเรื่อง
- รมว.ยุติธรรม บอกไม่ได้เป็นคนเชิญ
ต้องสำเหนียกว่า การลงพื้นที่ของผู้ช่วยรัฐมนตรีจีน ไม่ได้เสริมภาพลักษณ์ด้านบวกให้ไทย มีแต่ภาพลบ เพราะเท่ากับตอกย้ำว่าปัญหาเมืองสแกมเมอร์มีอยู่จริง และเกี่ยวข้องกับฝั่งไทย แม้จะอ้างว่าเข้าใจว่าไทยเป็นทางผ่าน แต่ก็เหมือนการเป็น “ทางผ่านยาเสพติด” ถึงอย่างไรก็ต้องร่วมกันแก้ปัญหา และถูกกดดันใช่หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ผ่านมาไม่มีรัฐมนตรีไทยคนไหนลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เลย นับตั้งแต่เกิดปัญหาเมืองสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกดาราจีนไปทำงานและทำร้าย ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เพิ่งจะลงไป ต้องถือว่ายังดีที่เริ่มคิดได้
3.ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นตลกร้ายอีก 1 เรื่อง เพราะรองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ไปสั่งให้ สมช.ทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ พูดง่ายๆ คือให้ฝ่ายประจำไปทำมา โดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมา 21 ปี ผลสัมฤทธิ์ยังไม่ดีพอ
แต่ยุทธศาสตร์ของฝ่ายประจำเขามีอยู่แล้ว เป็นแผน 5 ปี 3 ปี คำถามคือ ฝ่ายการเมืองต่างหากมียุทธศาสตร์อะไรทึ่จะ “ดับไฟใต้” ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมเสียที
การไปสั่งให้ฝ่ายประจำทบทวนยุทธศาสตร์ และให้เสนอมาใหม่ แปลว่าฝ่ายการเมืองไม่มีอะไรในมือมาเลย
สรุปก็คือ ย้อนมาพึ่งฝ่ายประจำที่ทำยุทธศาสตร์มา 21 ปีแล้ว ยังดับไฟใต้ไม่สำเร็จนั่นเอง
แว่วๆ ว่า “บิ๊กอ้วน - ภูมิธรรม” ตั้ง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในงานด้านความมั่นคง ไปเปิดวงรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่ได้ เมื่อฟังแล้วแทบตกเก้าอี้ เอาแค่น้ำจิ้มก็คือ แม่ทัพภาค 4 บอกว่า มีแต่คนสั่ง ไม่มีคนทำ วุ่นไปหมด มี 40 องค์กรที่มีชื่อลงไปทำงานที่ปลายด้ามขวาน แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปจริง เอาแค่วันทวีคูณ และเบี้ยเสี่ยงภัย
ปัญหาพื้นๆ แค่นี้ยังปล่อยให้มีมาได้ถึง 21 ปี แบบนี้ย่อมไม่มีทางดับไฟใต้ได้สำเร็จ มีแต่ความวังเวง
ทั้งหมดนี้ คือภาพสะท้อนความล้มเหลวของงานความมั่นคง ที่กลบข่าวบวกที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง
น่าคิดว่า หากกระแสต้านเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เกิดจุดติดขึ้นมา อาจผสมโรงกับความล้มเหลวของ 3 ประเด็นความมั่นคงที่ว่ามา...ระวังท่านจะกลายเป็นรัฐบาล้มเหลว หรือ Failed government ตัวจริง!