จับตาศึกชิง 'นายก อบจ.' เป้าหมายเลือกตั้งใหญ่ 70

จับตาศึกชิง 'นายก อบจ.' เป้าหมายเลือกตั้งใหญ่ 70

ดูเหมือนประเด็นที่น่าจับตามองของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายก อบจ.) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึง คือ พรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคลงมาเล่นในสนามนี้ด้วย ทั้งโดยตรงและทางอ้อม

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น แม้ผลการเลือกตั้ง ยังไม่ออกมา แต่นักวิเคราะห์การเมืองแทบฟันธงไปแล้วว่า ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ช่วยหาเสียงกิตติมศักดิ์ จะคว้าชัยทุกสนามที่ส่งผู้สมัคร ไม่เว้นแม้แต่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน(โพล) ที่ยก “เพื่อไทย” มีกระแสนิยมนำคู่แข่งทุกพรรค ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับการเลือกตั้ง “นายก อบจ.” ที่จะมีขึ้น เป็นการเลือกจังหวัดที่เหลือ 47 จังหวัด เนื่องจากก่อนหน้านี้ 29 จังหวัดนายก อบจ. ชิงลาออก หรือพ้นตำแหน่งด้วยวิธีอื่นก่อนครบวาระ จึงจัดการเลือกตั้งก่อนแล้ว แต่สำหรับสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) จะยังเลือกกันครบทุกพื้นที่ 76 จังหวัด

ส่วนพรรคการเมืองใหญ่ ที่เปิดตัวอย่างชัดแจ้งในการส่งผู้สมัคร นายก อบจ. ประกอบด้วย เพื่อไทย(พท.) 14 คน และอีก 2 คนลงในนามสมาชิกพรรค

พรรคประชาชน(ปชน.) ส่งผู้สมัคร 17 คน เฉพาะจังหวัด “ที่มีความพร้อม”

 ยิ่งกว่านั้น ปรากฏว่า 4 จังหวัดที่ “พรรคแดง” กับ “พรรคส้ม” แกนนำรัฐบาล และแกนนำฝ่ายค้านต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือด ก็คือ เชียงใหม่, ลำพูน, มุกดาหาร, ปราจีนบุรี โดย 3 จังหวัดแรก พรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าของเก้าอี้เดิม

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้สมัคร นายก อบจ. “บ้านใหญ่” ที่ไม่ประกาศตัวลงสมัครในนามพรรค แต่เป็นที่รู้กันว่า เป็นผู้สมัคร “สีน้ำเงิน” ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

นี่คือ ปรากฏการณ์การช่วงชิง เก้าอี้ “นายกเล็ก” ที่ไม่ธรรมดา

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลเชิงลึกของนักวิเคราะห์การเมือง ชี้เปรี้ยงว่า “บ้านใหญ่” มีการโอกาสคว้าชัยสูงทุกจังหวัด ขณะผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ก็จะนอนมาเช่นกัน โดยที่พรรคส้มได้แค่มีลุ้นในทุกสนามเท่านั้น

 สอดรับกับ ผลสำรวจของ “นอร์ทกรุงเทพโพล” ก่อนหน้านี้ที่ ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล เผยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เมื่อวันที่ 13-19 มกราคม 2568 หัวข้อ “เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2568”

 กรณีสอบถาม ท่านคิดว่า “การเลือกตั้งท้องถิ่น” พรรคใดมีสิทธิ์ชนะมากสุด พบว่า อันดับ 1 เพื่อไทย 30.6% อันดับ 2 ภูมิใจไทย 20.8% อันดับ 3 ประชาชน 20.5% อันดับ 4 รวมไทยสร้างชาติ 10.2% อันดับ5 ชาติไทยพัฒนา 6.9% อันดับ6 พรรคประชาธิปัตย์ 6.4% และ อื่นๆ 4.6%

เมื่อเป็นเช่นนี้ น่าสนใจ “ปัจจัย” บวกและลบ ของแต่ละพรรค ที่อาจส่งผลต่อการ “แพ้-ชนะ” หรือไม่ โดยเฉพาะความเห็นของผู้คร่ำหวอดที่สะท้อนผ่านสื่อบางสำนัก

 เริ่มจากพรรคประชาชน ที่หวังปักธง “นายกเล็ก” อย่างน้อย 5 ที่นั่ง ใน 5 ภูมิภาค จากผู้สมัครทั้งหมด 17 คน แต่ดูเหมือน “กระแส” ไม่เป็นใจมากนัก

 “หากชนะเลือกตั้งจะถือเป็นความสำเร็จมาก เพราะเรากำลังสู้กับช่วงที่ไม่มีกระแส ซึ่งยากมากสำหรับ 'พรรคกระแส' อย่าง อนาคตใหม่ก้าวไกล เราไปได้ดีกับกระแส ในเกมที่ไม่มีกระแสแล้วเราชนะได้ ถือว่าการทำงานของเรา เครือข่ายของเราเข้มแข็งมาก ดังนั้นการเลือกตั้งระดับชาติต้องดีมากแน่ๆ” ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวกับบีบีซีไทย

ทั้งนี้ ย้อนกลับไป เมื่อ 4 ปีก่อน จากข้อมูลผลปรากฏว่า ผู้สมัครนายกเล็กในนามคณะก้าวหน้ารวม 42 คนแพ้ทุกสนาม แม้สามารถนำ ส.อบจ. 57 คน เข้าสภา 20 จังหวัดได้ก็ตาม

ครั้งนี้ เมื่อเปลี่ยนมาลงสมัครในนามพรรค “ศรายุทธิ์” มองว่า มี “ปัจจัยบวก” อย่างน้อย 2 ประการคือ กระแสพรรคประชาชน ซึ่งผลสำรวจล่าสุดอยู่ที่ 37% ใกล้เคียงพรรคก้าวไกล ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566 ที่มีคะแนนนิยม 39%

 “แสดงว่าพรรคประชาชนเริ่มเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ไว้ใจไม่น้อยไปกว่าพรรคก้าวไกล”

นอกจากนี้พรรคมีเครือข่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มี ส.ส. ทำให้สามารถวางแผนทำงานลงลึกระดับตำบลและหมู่บ้าน

ส่วน “ปัจจัยลบ” อยู่ที่ความสนใจของประชาชนต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นที่อยู่ในระดับต่ำมาก คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้ง ไม่รู้บทบาทหน้าที่ของท้องถิ่น รวมถึงการกำหนดให้เลือกตั้งวันเสาร์ซึ่งไม่เอื้อต่อการออกไปใช้สิทธิของประชาชน

ในมุมมองของ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เห็นว่า พรรคเพื่อไทย ได้เปรียบในเกมนโยบาย “ทุกประตู” เพราะไม่เพียงเป็นผู้ยึดกุมอำนาจรัฐในปัจจุบัน ยังมี “พ่อนายกฯ” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ต้นตำรับนโยบายประชานิยมเป็นผู้ช่วยหาเสียงคนสำคัญ

 “ต่อให้คุณทักษิณพูดเรื่องนั้นแบบเฉี่ยวๆ เช่น เดี๋ยวนายกฯ แพทองธารจะเอานโยบายนั้นนโยบายนี้มาลง ขอให้นายก อบจ. รอรับด้วยข้อจำกัดตามอำนาจของตัวเองก็พอ อย่างนี้พูดได้และคนก็เชื่อ เพราะเพื่อไทยถืออำนาจรัฐอยู่ และถ้าชนะเลือกตั้ง อบจ. จริงๆ สิ่งที่พูดไว้ก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และยังมียี่ห้อทักษิณประทับตราไปอีกว่าพูดแล้วต้องได้” ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวกับบีบีซีไทย

ปัจจัยต่อมา คือ “ผู้ช่วยหาเสียง” พรรคเพื่อไทย มี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

ขณะที่ พรรคประชาชน มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้ช่วยเรียกคะแนน

 “ดร.สติธร” หยิบยกกรณี ในสนามที่ผู้สมัครจาก 2 พรรคลงชิงชัยกัน มาตั้งคำถาม พรรคประชาชนจะสู้ “ทักษิณ” อย่างไร ในเมื่ออดีตนายกฯ เป็นแนวบริหาร และนี่คือการเลือกนายกฯโดยตรง เลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารของจังหวัด

 “ถ้ามองเรื่องการวัดบารมี คุณพิธายังสู้ไม่ได้ อาจด้วยประสบการณ์ไม่เท่าคุณทักษิณ ซึ่งเคยทำมาแล้วและฉลาดในการอ้างถึงความสำเร็จในอดีตก่อนเปิดประเด็นใหม่ สิ่งนี้คุณพิธาไม่มี แต่ถ้าพูดถึงข้างหน้า คุณพิธาอาจเหนือกว่าก็ได้ในบางเรื่อง คือฝันได้ไกลกว่า หรือรู้อะไรใหม่กว่าที่คุณทักษิณอาจไม่ได้สนใจ หรือเข้าใจบริบทกว่า นำเสนอได้ดีกว่า แต่ถึงเวลามันวัดกันที่ดีกว่า-ไม่ดีกว่า ทำได้จริง-ทำไม่ได้จริง โอกาสได้ทำ-ไม่ได้ทำ และคุณทักษิณมีแต้มต่อคือสิ่งที่พูดทำได้จริง เพราะมีอำนาจรัฐมาเสริม”

 หันมาทางพรรคเพื่อไทย ในพื้นที่อีสาน ส่งผู้สมัครนายก อบจ. 8 คน และ 1 คนลงในนามสมาชิกพรรค โดยมีอยู่ 5 จังหวัดที่ “ทักษิณ” ไปช่วยหาเสียง ได้แก่ นครพนม บึงกาฬ หนองคาย มหาสารคาม และศรีสะเกษ

ประเด็นที่คนในพรรคเพื่อไทยสะท้อนให้เห็นผ่าน เวทีปราศรัยของอดีตนายกฯทักษิณ คือ การเรียกคืนคะแนนเสียงจากกลุ่ม “คนรักทักษิณ” นอกจากนี้ถ้า “ทักษิณ” ลงพื้นที่จังหวัดไหนแล้วแพ้ ไม่ใช่แพ้แค่ผู้สมัครนายก อบจ. แต่ส.ส. เจ้าของพื้นที่ก็ส่อหมดอนาคตทางการเมือง ดังนั้น ส.ส. ส.อบจ. ทุกคนต้องเอาจริงเอาจังกับสนาม อบจ.

“งานนี้ไม่ใช่แค่บารมีและอิทธิพลของนายกฯทักษิณต่อประชาชนอย่างที่มีการพูดกัน แต่เป็นอิทธิพลต่อ ส.ส. ด้วย” / ส่วนกรณี คำปราศรัย “ทักษิณ” ที่นำนโยบายระดับชาติมาประกาศบนเวทีหาเสียง อบจ. เข้าข่ายครอบงำ-สั่งการรัฐบาลนั้น คนในพรรคเพื่อไทยยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารแต่อย่างใด เพราะเป็นการหาเสียงตามอำนาจ อบจ. ซึ่งไม่ได้ปิดกั้นว่า ห้ามแจ้งข่าวสารกับประชาชน อดีตนายกฯ เพียงแต่บอกวิธีคิดของตน ไม่ได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และพิสูจน์แล้วที่ จ.อุดรธานี ก็ไม่มีคนร้องเรียนประเด็นนี้ กกต. ก็ไม่ได้เอาเรื่อง จึงไม่เป็นปัญหาและไม่กังวลแต่อย่างใด

ที่สำคัญและอาจถือเป็นจุดชี้ขาดชัยชนะ อาจารย์สติธร ชี้ว่า มาจากฐานเสียงเป็นหลัก เพราะคือการวัดว่าใครมีฐานจัดตั้งมากกว่ากัน และคำนวณได้ว่า ฐานจัดตั้งมากหรือน้อย ต้องแข่งกับคนที่อยู่นอกฐานเท่าไร ต้องเติมอะไรตรงไหนเพื่อแก้เกม

“สนามท้องถิ่นมันคือการบอกฐานเสียง ต้องรอดูคะแนนคู่กันระหว่างคะแนนนายก อบจ. กับ ส.อบจ.” สติธร กล่าว

 สำหรับผู้สมัคร “สีน้ำเงิน” ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคใหญ่ แต่จงใจไม่สวมเสื้อพรรคลงสนาม ทว่าเป็นที่รับรู้ในหมู่นักเลือกตั้งและผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง

เรื่องนี้ สอดคล้องกับ นักวิชาการผู้ศึกษาและสังเกตการณ์การเมืองท้องถิ่น ย้ำว่า ชัยชนะของนายก อบจ. จะมาจาก “บ้านใหญ่+พรรคใหญ่” แต่ถ้าพรรคใหญ่ไม่มีบ้านใหญ่ ก็ถือว่า องค์ประกอบแห่งชัยชนะไม่ครบถ้วน

และถ้าให้ประเมินจากยอดส่งผู้สมัครนายก อบจ. 14+2 คนของพรรคเพื่อไทย และ 17 คนของพรรคประชาชน แต่ละพรรคต้องได้กี่คนถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ

 “ดร.สติธร” ตอบว่า “เพื่อไทยควรได้ทั้ง 14 คน อะไรที่ประกาศในนามพรรคต้องได้หมด ไม่อย่างนั้นเสียหน้า เพราะเขาไม่ได้บังคับ เลือกจะไม่ส่งก็ได้ ดังนั้นจังหวัดไหนที่ส่ง แปลว่าต้องมั่นใจ” ส่วนประชาชน “ได้ 1 คน ก็ถือว่าชนะแล้วสำหรับเขา เฮแล้ว”

 ประเด็น ที่น่าวิเคราะห์ จากการที่พรรคการเมืองใหญ่ ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ และผลแพ้-ชนะที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปส.ส.ในปี 2570 หรือไม่

 ในมุมของพรรคประชาชน “ศรายุทธิ์” ให้ความเห็นกับ บีบีซีไทย ว่า “เวลามองปัจจัยแพ้วันนี้ เทียบกับปี 2570 ที่จะมีเลือกตั้งใหญ่ พรรคเราไม่อกสั่นขวัญแขวนแน่นอน เรารู้ดีว่า นี่คือบทเรียนที่ต้องไปแกะ ไปดูรายละเอียด มันทำให้เราเข้าใจมากขึ้น สร้างเครือข่ายได้มากขึ้น รู้จักพื้นที่มากขึ้น นี่คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราชนะการเลือกตั้งใหญ่”

พร้อมกับย้ำว่า “ที่เราต้องชนะ เพราะต้องการบริหารให้เห็น แนวคิด 4 ป. โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม และการบริหารที่ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง มันหน้าตาเป็นอย่างไร”

ขณะที่ “ทักษิณ” เคยปราศรัยว่า การลงมาเล่นการเมืองท้องถิ่นของพรรคเพื่อไทย เพราะมีส.ส.น้อยกว่าที่ผ่านมา จึงดูแลพื้นที่ไม่ครอบคลุม ดังนั้น “นายก อบจ.” จะเป็นตัวช่วย ทำหน้าที่สะท้อนปัญหาประชาชนและดูแลพื้นที่แทน

แน่นอน, สิ่งหนึ่งที่ “ทักษิณ” ไม่ได้พูด แต่เป็นเป้าหมายอย่างไม่ต้องสงสัย ก็คือ การยึดกุม “ฐานเสียง” ในระดับท้องถิ่น เพื่อเป้าหมายการเลือกตั้งทั่วไปส.ส.ในปี 2570 ซึ่งถ้าผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งทุกจังหวัดอย่างที่มีการคาดการณ์ ไม่เพียงพรรคเพื่อไทยจะถูกจับตามองในสนามเลือกตั้งใหญ่ทันควัน หากแต่การเรียกคืนกระแส “คนรักทักษิณ” ก็ไม่อาจมองข้ามเช่นกัน