จับตาปมร้อน ‘กาสิโน’ ปลุกม็อบต้าน ‘ทักษิณ’

จับตาปมร้อน ‘กาสิโน’ ปลุกม็อบต้าน ‘ทักษิณ’

พลันกระแสร้อน “กาสิโน” เดือดผุดๆ หลังรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ผลักดันร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ทั้งโจทก์เก่า-ฝ่ายแค้น “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เคลื่อนไหวสอดรับทันควัน

ทั้งประกาศ จัด “ชุดใหญ่” ระดมแกนนำระดับหัวขบวน นำม็อบลงถนนประชิดทำเนียบรัฐบาล “ดีเดย์ 21 มกรา” ถือเป็นการชิมลางการชุมนุมครั้งแรกของปี 2568 ตามที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “กลุ่มคนเสื้อเหลือง” เคยประกาศเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว ก็ว่าได้

ทั้งนี้ จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ช่วงหนึ่งว่า

 “พวกผมคณะใหญ่ที่เคยไปทวงถามและให้กำลัง ป.ป.ช.ไต่สวนชั้น 14 มาแล้ว คณะนี้จะไปอภิปรายบนฟุตบาทหน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในวันที่ 21 ม.ค.นี้ เวลา 10.00 น. โดยจะยื่นหนังสือกรณีชั้น14 รพ.ตำรวจส่งเวชระเบียนให้แพทยสภาไม่ครบถ้วน ดังนั้น นายกฯ กำกับสำนักงานตำรวจ และสำนักงานตำรวจดูแลรพ.ตำรวจ จึงต้องรับผิดชอบ”

ไม่เพียงเท่านั้น “จตุพร” ยังชี้ให้เห็น “ไทม์ไลน์” ที่จะจุดกระแสร้อนทางการเมืองขึ้นมาผสมโรงในอีกไม่ช้าด้วยว่า

ในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะพิจารณาคำร้องของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. ปชป.ว่า จะรับไว้พิจารณาไต่สวนหรือไม่ในกรณีทักษิณ ฝ่าฝืนคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยไม่ติดคุกสักวัน ดังนั้นจึงร้องให้ศาลนำตัวมารับโทษขังคุก 1 ปี

“กรณีชั้น 14 การตรวจสอบของแพทยสภา และการตั้งบ่อนกาสิโนพร้อมดันการพนันออนไลน์ให้ถูกกฎหมายจะเป็นของร้อนระอุเผารัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยนับไทม์ไลน์รอเวลาคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เอ็นเทนเมนต์คอมเพล็กซ์กับผลตรวจสอบของแพทยสภาจะประทุในช่วงไล่เลี่ยกัน ซึ่งจะเป็นสัญญาณของพรรคร่วมต้องตัดสินใจ ส่วนประชาชนช่วงนี้ควรถามใจตัวเองว่า พร้อมหรือยัง”

ที่น่าย้อนให้เห็น “คณะใหญ่” ที่ไป “ป.ป.ช.” เพื่อติดตามการไต่สวน กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ และให้กำลังใจ อาจหมายถึง “บิ๊กเนม ที่เคยชุมนุมทางการเมืองต่างๆ เช่น แก้วสรร อติโพธิ, เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, คมสัน โพธิ์คง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ประพันธ์ คูณมี ประสาร มฤคพิทักษ์ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และ นิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา)

พูดได้ว่า มีทั้งแกนนำ นปช.(เสื้อแดง), กปปส., พันธมิตรฯ(เสื้อเหลือง), อดีตส.ส.และอดีตส.ว. สรุปศัตรูเก่ายัง “แค้นฝังหุ่น” และมิตรก็กลับกลาย “แปรพักตร์”

ไม่เพียงเท่านั้น “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตส.ส.พัทลุง ยังโพสต์รูปภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (12 ธ.ค.2567) ระบุหัวข้อ

“นัดกินข้าวคุยกัน” เนื้อหาระบุว่า ค่ำของคืน 11 ธ.ค.นัดกินข้าวคุยกันตามประสาผู้ห่วงใยบ้านเมือง เท่าที่จำได้ มี อ.แก้วสรร อติโพธิ, ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, จตุพร พรหมพันธุ์, ทนายนกเขา, อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, อ.ขวัญสรวง อติโพธิ

ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ, พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม, สมชาย แสวงการ, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, พิชิต ไชยมงคล, ประสาร มฤคพิทักษ์, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, สาวิทย์ แก้วหวาน, ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว), แซมดิน เลิศบุศย์ และอีกหลายท่าน...”

คนกลุ่มนี้ อาจเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่ “ทักษิณ” เดือดใส่ บนเวทีปราศรัยหาเสียง นายก อบจ.ที่ภาคเหนือ?

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ ประเด็น ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะพิจารณาคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส. ปชป.หรือไม่ เพราะ “แก้วสรร อติโพธิ” ชี้ว่า ในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขัง และไม่มีการขังตามหมาย ต้องออกหมายใหม่กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจศาลฎีกา แผนกคดีอาญาทางการเมือง ที่นายชาญชัย ไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจาก ป.ป.ช. ไปดูและวินิจฉัยได้ จุดสำคัญศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยป.ป.ช. เพราะคดีนี้เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น “ทักษิณ” เตรียมตัวได้

สำหรับเรื่อง “กาสิโน” ตอนนี้อยู่ในขั้น คณะรัฐมนตรี อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา มีข้อสังเกต 6 ข้อ

 ที่สำคัญ “ทักษิณ” กล่าวถึงข้อสังเกต 6 ข้อดังกล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ได้มีความเห็นต่าง เพียงแต่ ไปดูในตัวกฎหมายที่ในตอนต้น เขียนเน้นถึงเรื่องกาสิโนมากไป ทั้งที่มีสัดส่วนเพียง 10% ขณะที่ Entertainment Complex เป็นเนื้อหาที่มีมากถึง 90% เพราะมีความห่วงกังวลเรื่องกติกาของกาสิโน จึงเป็นการร่างกฎหมายหนักข้างเกินไป

ดังนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงให้คณะกรรมการกฤษฎีกา นำไปปรับให้ตรงกับนโยบายรัฐบาล โดยส่วนตัวเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร และ สามารถดำเนินการต่อได้

 นั่นเท่ากับว่า รัฐบาลพร้อมผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มสูบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรกันแน่ที่อยู่ใน ร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ จึงนับว่าน่าสนใจ

สิ่งที่น่าย้อนให้เห็นก็คือ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงื่อนไขการพนัน ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 กำหนดไว้ในมาตรา 4 ระบุว่า การพนันอันระบุไว้ในบัญชี ก. ในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. 2478 หรือการเล่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกันนั้น จะจัดให้มี เข้าเล่น หรือเข้าพนันได้ ณ สถานกาสิโนของรัฐบาล ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจัดตั้งขึ้น หมายความว่า หากสถานกาสิโนนั้นไม่ได้ดำเนินการ “โดยรัฐบาล” จะถือว่าผิดกฎหมายทันที

ขณะเดียวกัน รายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง การเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) การจัดเก็บรายได้และภาษีจากธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมายฯ ชี้ให้เห็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ แม้ว่ากาสิโนที่ประกอบการด้วยเอกชนโดยตรงจะผิดกฎหมาย แต่หากรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในส่วนกิจการเสี่ยงโชค หรือให้สัมปทานแก่เอกชนดำเนินธุรกิจกาสิโน จะถือว่า “ถูกกฎหมาย” ทันที

 เพราะในกฎกระทรวง กำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ส่วนบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตแนบท้ายกฎกระทรวง มีระบุ ตอนที่ 18 กิจการเสี่ยงโชค และตอนที่ 20 กิจการที่ได้รับอนุญาตหรือสัมปทานจากรัฐ ว่าสามารถจัดเก็บเป็นภาษีแบบถูกกฎหมายได้ จึงถือว่า “กาสิโน” เข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการ

ดังนั้น “กาสิโน” ดังกล่าว จึงเป็นได้ทั้งธุรกิจการพนันและธุรกิจที่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามกฎหมาย ทำให้ “ธุรกิจและเศรษฐกิจใต้ติน” ที่รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ ขึ้นมาอยู่บนดินทันที หากร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ผ่านการรับร่างกฎหมาย

ที่สำคัญ ในข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการพิจารณาญัตติดังกล่าว ข้อที่ 5 ระบุว่า “การจัดเก็บภาษีไม่ควรสูงเกินไปแต่ต้องมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการแบ่งรายได้เพื่อประโยชน์สาธารณะแก่ผู้ยากไร้และขาดแคลน ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาและสร้างนวัตกรรม (ร้อยละ 50 ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีในสถานบันเทิงแบบครบวงจร)”

นั่นหมายถึงว่า มีความต้องการให้กาสิโนอยู่ได้นาน ให้เกิดการเก็บภาษีเข้ารัฐแบบ “เก็บน้อยแต่เก็บยาว” เพื่อทำประโยชน์ในด้านการศึกษาและนวัตกรรม ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ ได้รับมากเป็นอันดับ 2 ของงบประมาณปี 2567 จะได้เพิ่มมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานผลพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร(Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ยังเห็นด้วยตามผลการพิจารณาข้างต้น

 “… รูปแบบการลงทุนต้องใช้เงิน เป็นจํานวนมาก หากรัฐบาลจะเป็นผู้ลงทุนเองแล้วอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านงบประมาณที่รัฐ จะต้องจัดหามาใช้ในการลงทุนดังกล่าว ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยลดปัญหา จึงอาจจะต้องเป็นในรูปแบบการให้ใบอนุญาตกับเอกชนตามระยะเวลาที่กําหนด …”

 ทั้งให้เหตุผลเชิงบวกว่า ทําให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตมากขึ้น ทําให้คนในพื้นที่มีรายได้มากขึ้น เกิดการกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบไม่เกิดการรั่วไหลออกนอกประเทศ และเกิดการลงทุนในพื้นที่มากขึ้น เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการมากขึ้น

 ยิ่งไปกว่านั้น ยังทําให้อัตราการว่างงานของคนในพื้นที่ลดน้อยลง เพราะเกิดการจ้างงานมากขึ้น ประชาชนหันไปพึ่งการพนันที่ผิดกฎหมายน้อยลง ทำให้ปัญหาต่าง ๆ เช่น อัตราการเกิดอาชญากรรมและอัตราการฆ่าตัวตายลดลง ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ส่วนผลกระทบในเชิงลบ เป็นเรื่องที่ประชาชนทราบโดยทั่วกัน คณะกรรมาธิการฯ จึงเสนอไปในทิศทางว่า ควรมีมาตรการกำกับ ควบคุม และเฝ้าระวังผลกระทบด้านอาชญากรรมทางการเงินและการสร้างนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ของผู้ใช้บริการ

ที่สำคัญ ร่าง พ.ร.บ. เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ฉบับแก้ไขล่าสุด มาตรา 41 ระบุว่า ให้สถานบันเทิงครบวงจรตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเท่านั้น โดยจะต้องประกอบไปด้วยธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้าย พระราชบัญญัตินี้อย่างน้อยสี่ประเภท ร่วมกับกาสิโน

ทั้งนี้ สัดส่วนพื้นที่ของกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรให้เป็นไปตามคณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด

 หมายความว่า การจะทำธุรกิจกาสิโนในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ได้ ต้องเลือกธุรกิจบันเทิงประเภทอื่น ๆ ในบัญชีแนบท้าย “อย่างน้อย 4 ชนิด” จากในบัญชีนี้ที่กำหนดไว้ 10 ชนิด ร่วมด้วย ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, ร้านอาหาร, ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ หรือบาร์, สนามกีฬา, ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ, สถานที่เล่นเกม, สระว่ายน้ำและสวนน้ำ, สวนสนุก, พื้นที่สาหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP และกิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด

ทำให้ผู้ประกอบการกาสิโน สามารถเลือกธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนมาก อย่างพื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP หรือสถานที่เล่นเกม ซึ่งอย่างแรกอาจจะสามารถเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจท้องถิ่นเข้ามาขายของ ไม่ต้องลงทุนทั้งหมดเอง ส่วนอย่างหลังสามารถนับรวมเกมเข้ามาไว้เป็นส่วนหนึ่งในกาสิโนได้ อาทิ เกมไพ่ออนไลน์ หรือเกมสล็อตออนไลน์

รวมถึงข้อที่ 10 ที่ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายสามารถกำหนด “กิจการอื่นๆ” เท่ากับสามารถที่จะออกข้อกำหนดธุรกิจให้เอื้อต่อธุรกิจผู้ถือใบอนุญาต หรืออาจจะส่งเสริมกับธุรกิจคาสิโนในเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ได้ในภายหลัง?

แน่นอน, เรื่อง “กาสิโน” ยังเหลืออีกหลายขั้นตอน กว่าจะออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ ทั้งยังไม่แน่จะออกกฎหมายได้หรือไม่ด้วย เพราะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้ง “ผลดี-ผลเสีย” ที่จะตามมา ชั่งน้ำหนัก ผลประโยชน์ที่เอาธุรกิจผิดกฎหมายขึ้นมาอยู่บนดิน กับผลกระทบที่เกิดขึ้น คุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่

 กระนั้น นี่คือ เหยื่ออันโอชะ ของ “กลุ่มม็อบ” ที่หาประเด็นถล่ม “ทักษิณ” และรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” อยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะแนวคิด “กาสิโน” ถูกกฎหมาย เริ่มมาตั้งแต่ “ทักษิณ” เป็นนายกฯ(ปี2548) ก่อนถูกรัฐประหาร กระทั่งมาเป็นรูปธรรมในรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์”

จึงนับว่าน่าจับตามอง กลุ่มม็อบจะเรียกมวลชนลงถนนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะนอกจากสาวกฯกลุ่มม็อบแล้ว อาจหมายถึงกระแสต้านนอกสภาฯด้วย จริงไม่จริง ก็ต้องติดตาม