จับตา การเมืองเดือดปี 68 'ม็อบ-ศึกอภิปรายรัฐบาล'

ใกล้สิ้นปี 2567 และส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 2568 สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ สถานการณ์การเมืองในปีหน้าจะระอุเดือดหรือไม่ แค่ไหน เพราะอย่าลืมว่า มีกระแสที่ปูเอาไว้ตั้งแต่ปีนี้แล้วว่า จะมี 2 เรื่องใหญ่ ในทางการเมือง นั่นคือ การปลุกม็อบลงถนน ของกลุ่ม-เครือข่ายต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” และ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน
ประเด็นปลุกม็อบลงถนนในปี 2568 ไม่เพียงกลุ่มสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประกาศกร้าวเอาไว้แล้ว ทั้งประเดิมด้วยการเคลื่อนไหวประเด็นยกเลิก “MOU 2544” เพื่อเจรจาผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ “ทับซ้อน” ทางทะเล กับ กัมพูชา ที่ส่อว่าจะทำให้เสียดินแดน และ “ขายชาติ” หรือไม่
เรื่องนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯสมัยที่ทำ MOU และบิดา “นายกฯอิงค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ออกมายืนยันว่า ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจาก MOU นี้เลย ทั้งปฏิเสธชัดเจน ไม่ได้ขายชาติ และไม่ได้ตกลงผลประโยชน์เรื่องพลังงานกับ “ฮุน เซ็น” เอาไว้แล้ว ตามที่ถูกกล่าวหา
เรื่องนี้คาดว่า จะไม่จบลงง่ายๆ จนกว่ารัฐบาลแพทองธาร จะยอมยกเลิก MOU 2544 ตามข้อเรียกร้อง ซึ่งเชื่อว่า จะวัดกำลังกันไปจนกว่าจะมีฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ หรือมีทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย แต่ระหว่างทางของการต่อสู้ การเมืองก็จะระอุเดือดเป็นเงาตามตัวด้วย
ขณะที่อีกประเด็น กรณี “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 รพ.ตำรวจเจ้าของเรื่อง ที่กัดไม่ปล่อยมาตั้งแต่แรก อย่าง พิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ก็ออกมาประกาศเช็กบิลเช่นกันในปี 2568 โดย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก(21 ธ.ค.67) ว่า ปีเช็กบิล
ปีใหม่ 2568 เป็นปีที่ต้องเช็กบิลกับการคอร์รัปชันครั้งใหญ่
“พิชิต” ระบุว่า ป.ป.ช.ไต่สวน ข้าราชการที่ร่วมทำผิด ก็เดินหน้าทางคดีไป
แต่ความรับผิดชอบทางการเมือง ก็ต้องเกิดขึ้น
1.ทักษิณ ไม่ได้ป่วยจริง หรือไม่ป่วยวิกฤตขนาดต้องรักษา 180 วัน
2.ทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต ถึงขนาด กินข้าวเองไม่ได้ ใส่เสื้อเองไม่ได้ เดินเองไม่ได้ จึงต้องได้รับการพักโทษ
เราปล่อยให้การคอร์รัปชันความยุติธรรมเดินหน้า เหมือนสิ่งที่พวกเขาร่วมกันทำเป็นความถูกต้องได้อย่างไร
อังคาร 7 มกราคม 2568 เราจะไปทำเนียบ ใส่รองเท้าผ้าใบไปถามหาความยุติธรรม ของขวัญปีใหม่ของประเทศไทย คือความยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลมีหน้าที่ทำความยุติธรรมให้กระจ่าง หากไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้กระบวนการยุติธรรมรัฐบาล ก็ต้องออกไป ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นนี้ ยังเหลือคดีอยู่แค่ในชั้น ป.ป.ช. เท่านั้น
หลังจากก่อนหน้านี้ (18 ธ.ค.2567) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีมีผู้ร้อง รมว.ยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เอื้อประโยชน์นายทักษิณ ชินวัตร พักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
ส่วนคดีที่ป.ป.ช. ล่าสุด สาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วเห็นว่า มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอ จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง
โดยให้คณะกรรมการป.ป.ช.ทั้งคณะ เป็นองค์คณะไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 51
เป็นการไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คน และหากในชั้นไต่สวนพบว่ามีบุคคลอื่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไป
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น แก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ ชี้ว่า จากที่เคยเป็นนักวิชาการด้านกฎหมายและตรวจยึดทรัพย์ “ทักษิณ” มาแล้ว มองได้ว่างานนี้หลักฐานและข้อกฎหมายชัดเจนว่ามีมูลความผิด ตนมั่นใจในการทำงานของ ป.ป.ช. และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่ และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน พร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ
หลายคนถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมาย ถ้าหมายศาลให้ขังและหากไม่มีการขังตามหมาย ต้องออกหมายใหม่กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้ ทั้งนี้ จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยป.ป.ช. เพราะคดีนี้เป็นคดีเจ้าหน้าที่
เช่นเดียวกับ คดี “ทักษิณ” ครอบงำพรรคเพื่อไทย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยไปแล้ว
กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้อง 6 ข้อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมกันกระทำการ อันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คือ 1.ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักห้องพักชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต
2.ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1
ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าว และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว
แต่ขณะนี้ ยังอยู่ในชั้นการไต่สวนของ “กกต.” ท่ามกลางการสรรหาคณะกรรมการ กกต.ใหม่ในปี 2568 ถึง 5 คน จะมีผลต่อการพิจารณาคดีหรือไม่
ประกอบด้วย 1.นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. หมดวาระในเดือนสิงหาคม 2568 2.ศ.สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ หมดวาระในเดือนสิงหาคม 2568 3.นายปกรณ์ มหรรณพ หมดวาระในเดือนสิงหาคม 2568 4.นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ หมดวาระในเดือนธันวาคม 2568 5.นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ หมดวาระในเดือนธันวาคม 2568
โดยเชื่อว่า การสรรหาครั้งนี้ จะมีคนของฝ่ายการเมืองได้เข้าไปนั่งใน กกต.หลายคนด้วย จริงหรือไม่ ต้องติดตาม
แน่นอน, คดีที่เหลืออยู่ใน ป.ป.ช. และ กกต. จะกลายเป็น “อาวุธหนัก” ของ การเคลื่อนไหวปลุกม็อบลงถนน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร หรือยื้อออกไป เพื่อกดดันและขยายผล จนอาจทำให้การเมืองระอุเดือดได้
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” ยังถูกจองกฐิน อภิปรายไม่ไว้วางใจเอาไว้แล้ว
โดยเฉพาะในการนัดดินเนอร์ของพรรคฝ่ายค้าน(18 ธ.ค.2567) นอกจากต้อนรับสมาชิกใหม่จากพรรคพลังประชารัฐ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคฝ่ายค้านแล้ว
ยังมีการแจ้งวาระการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคการเมืองฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ในช่วงต้นปี 2568 ด้วย
นั่นหมายความว่า เปิดศักราชใหม่ขึ้นมา รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร จะต้องเตรียมเผชิญหน้ากับทั้ง “ม็อบลงถนน” นอกสภาฯ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาฯ อย่างไม่มีทางหลีกพ้น
ยิ่งกว่านั้น ประเด็นที่จะถูกนำมาขยายผลขยี้ซ้ำ ก็คงหนีไม่พ้น ข้อมูลที่มีการเปิดแผลทั้ง นอกสภาฯ และ ในสภาฯ ที่เอื้อต่อกัน
อย่างไรก็ตาม แม้การเมืองจะระอุเดือดขึ้นตามกระแส แต่สิ่งที่น่าคิด และติดตาม ก็คือ ความเคลือบแคลงสงสัยที่ว่า ทำม็อบ เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร ล้มรัฐบาล ใช่หรือไม่
เพราะนี่คือ สิ่งที่มวลชนจะเข้าร่วมต้องคิด และตัดสินใจเอาด้วยหรือไม่
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ถ้าดูจากส.ส.ที่มีทั้งหมด 171 เสียง คือ ประชาชน 141 เสียง, พลังประชารัฐ 19 เสียง, ไทยสร้างไทย 6 เสียง นอกจากนี้ เป็นธรรม-ไทยก้าวหน้า-เสรีรวมไทย พรรคละ 1 เสียง ขณะที่รัฐบาลมี 322 เสียง น่าคิดว่า ผลจะเป็นอย่างไร?
สุดท้ายที่ต้องลุ้น ก็คือ ผลการไต่สวนของ “กกต.” และ “ป.ป.ช.” จะออกมาอย่างไร เป็นคุณ หรือ เป็นโทษ เท่านั้นเอง หรือไม่จริง?







