'จุดอ่อน' รัฐบาลเศรษฐา หนังหน้าไฟให้ 'ทักษิณ'

'จุดอ่อน' รัฐบาลเศรษฐา หนังหน้าไฟให้ 'ทักษิณ'

ท่ามกลางรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ผิดพลาดหลายเรื่อง เป๋มาตั้งแต่ “ตระบัดสัตย์” ตั้งรัฐบาล “พลิกขั้ว” กับฝ่ายที่โจมตีมาตลอดว่า เป็น “เผด็จการ”

จนกระทั่งนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่จากเดิมบอก “ไม่ต้องกู้” แต่วันนี้เตรียมกู้มาแจกถึง 5 แสนล้านบาท จนแทบทนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่ไหว โดยเฉพาะจากผู้รู้ทั้งหลาย ที่ทำนายเอาไว้ล่วงหน้า “หายนะ” กำลังรออยู่ ทั้งกับรัฐบาลและประเทศ สุดท้ายต้องโหมกระแสแก้หนี้นอกระบบ เพื่อเบี่ยงเบนกระแสร้อนแจกเงินดิจิทัล ที่ทำท่าว่า จะไปไม่รอด 

กระนั้น “จุดอ่อน” แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่นโยบายรัฐบาล “ไม่ตรงปก” ซึ่ง โดยรวมหลายคนเข้าใจได้ แต่ที่สำคัญ อยู่ที่ การมี “อภิสิทธิ์” เหนือนักโทษคนอื่น ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บิดา “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รัฐบาลเศรษฐา จะต้องเป็น “หนังหน้าไฟ” กระแสเรียกร้อง ต่อต้าน โจมตี ให้มีการปฏิบัติเท่าเทียมกับนักโทษคนอื่น อย่างที่ นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี แถลงในเวทีระดับโลกว่า จะสร้างความ “เท่าเทียม” ให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย แต่กำลังย้อนแย้งกับ กรณี“นช.ทักษิณ” 

และแน่นอน, คำถามที่ว่า เมื่อไหร่ “นช.ทักษิณ” จะกลับเข้าเรือนจำ ถูกคุมขัง เหมือนนักโทษคนอื่น หลังออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ (นอกคุก) เป็นเวลากว่า 100 วันเข้าไปแล้ว โดยถูกจำคุก ไม่ถึง 1 วันเต็มด้วยซ้ำ หลังจากเข้าคุก ก็มีอาการป่วยกำเริบกลางดึก ก่อนถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลตำรวจ อ้างว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้(เข้าหลักเกณฑ์เหมือนวาดไว้) ยังอยู่ในสายลมความว่างเปล่า

ขณะเดียวกัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก เป็นคนเดียวที่ตอบคำถามอาการป่วยของ “ทักษิณ” ได้ (แต่พูดความจริงหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง) เพราะทุกอย่างเป็น “ความลับ” และไม่มีการเปิดเผยอาการที่ชัดเจนจากแพทย์ผู้รักษาของโรงพยาบาลตำรวจแต่อย่างใด

ยิ่งชวนให้คิดว่า “อาการ” ของ “ทักษิณ” อาจไม่รุนแรง อย่างที่มีการสร้างภาพ(ร่วมกัน)ว่า “รุนแรง” เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ต้องติดคุกจริงในเรือนจำหรือไม่?

ล่าสุด (30 พ.ย.66) “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กรณีทักษิณ รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลา 100 วันแล้ว ว่า ขณะนี้ “ทักษิณ” ยังพักฟื้นอยู่ เมื่อถามถึงกระแสข่าวจะได้รับพระราชทานอภัยโทษในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ “อุ๊งอิ๊ง” กล่าวว่า ยังไม่ได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะเดินเข้าที่ประชุมฯทันที

ก่อนหน้านี้ (19 ก.ย.66) “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าอาการป่วยและสุขภาพโดยรวมของ “ทักษิณ” ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ระหว่างการพักฟื้นหลังผ่าตัดไป แต่ในส่วนรายละเอียดขอให้แพทย์เป็นคนชี้แจง

ถามว่า สุขภาพโดยรวมและความดันตอนนี้แข็งแรงขึ้นใช่หรือไม่ “แพทองธาร” ระบุความดันแล้วแต่วัน บางวันก็ดี บางวันก็ไม่ค่อยดี ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเท่าไร ตนไม่ทราบจริงๆ ว่าจะต้องอยู่นานขนาดไหน เพราะเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

และเมื่อถามถึงการยื่นขอพักโทษว่าทางครอบครัวได้พูดคุยกันอย่างไรนั้น “แพทองธาร” กล่าวว่า เราศึกษากฎหมายว่าทำอะไรได้บ้างในการที่จะให้คุณพ่อรู้สึกว่า หากไม่สบายจะมีโอกาสได้พักที่บ้านไหม เราก็ช่วยกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งก็ยังไม่ได้มีการยื่นขอพักโทษ

ถามว่าตามเงื่อนไขที่จะต้องรับโทษ 1 ใน 3 ก่อน หากครบกำหนดจะยื่นขอพักโทษเลยหรือไม่ “แพทองธาร” ระบุว่า ขอดูความเหมาะสมและความเรียบร้อยอีกครั้ง ซึ่งทางครอบครัวทราบข้อนี้ที่จะต้องรับโทษ 1 ใน 3

ส่วนกระแสข่าวที่จะมีการแจ้งข้อกล่าวหามาตรา 112 กับ “ทักษิณ” ที่เคยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2558 “แพทองธาร” ระบุว่า ไม่มีประเด็นอะไรแล้ว เป็นการเข้าใจผิดด้วยซ้ำโดยในเรื่องของคดีต่างๆ ตนขอไม่พูด ให้ทนายพูดจะได้ชัด เกรงว่าหากตนเองพูดไปจะมีประเด็นเพิ่มเติมอีก และยืนยันว่าภายหลังการได้รับอภัยโทษเหลือ 1 ปีนั้น ไม่มีคดีอื่นแล้ว (THE STANDARD TEAM)

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน วานนี้(1 ธ.ค.66) หลัง “ทักษิณ” นอนรักษาตัวอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจครบ 100 วันเมื่อวันที่ 30 พ.ย.2566 แหล่งข่าวจากกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ จะไม่มีกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไปเนื่องจากวันนี้วันที่ 1 ธ.ค.แล้ว แต่ยังไม่มีการยกร่างพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษเป็นการทั่วไปจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ดังนั้นหากมีการเสนอเข้าครม.จะต้องมีขั้นตอน และหลังจากเข้าครม.แล้ว ต้องส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาตรวจสอบร่างก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ

แหล่งข่าว ระบุอีกว่า จากการตรวจสอบในขณะนี้ นายทักษิณ ยังไม่เข้าข่ายหลักเกณฑ์ใดเลย เพราะหากจะเข้าเกณฑ์พักโทษ จะต้องรับโทษ 1 ใน 3 หรือ 6 เดือน ก่อนจึงจะเข้าเงื่อนไขการพักโทษ ซึ่งจะครบในวันที่ 22 ก.พ.2567

ส่วนการรักษาตัวนอกเรือนจำของนายทักษิณตามระเบียบหากครบ 120 วัน เป็นอำนาจอธิบดีกรมราชทัณฑ์เห็นชอบ และต้องเสนอ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมให้รับทราบ

แหล่งข่าวคนเดิม ระบุว่า ขณะนี้กรมราชทัณฑ์ โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อยู่ระหว่างจัดทำระเบียบรองรับกฎ กระทรวงกำหนดสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่เรือนจำเป็นสถานที่คุมขัง ซึ่งได้แก้ไขไว้สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม โดยระเบียบอาจประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า ซึ่ง “ทักษิณ” อาจเข้าเงื่อนไขได้ออกไปคุมขังในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำตามแต่กำหนด(Thai PBS)

และที่สำคัญ ก่อนหน้านี้(4 ก.ย.66) ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์ความเห็นผ่าน เฟซบุ๊ก “Prinya Thaewanarumitkul” ระบุ

“ทักษิณต้อง #ติดคุกจริงๆ หรือไม่” ว่า ตามที่คุณทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพระราชทานอภัยโทษลดโทษจำคุกจาก 8 ปี เหลือ 1 ปีนั้น มีคำถามว่าคุณทักษิณ ซึ่งขณะนี้ได้รับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ จะอยู่นอกเรือนจำไปเรื่อยๆ จนเวลาครบ 1 ปีได้หรือไม่?

คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่ กฎกระทรวงยุติธรรม เรื่อง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ซึ่งลงนามโดยคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นครับ

หลักเกณฑ์โดยสรุปคือ ถ้าผู้ต้องขังมีอาการป่วยโดยสถานรักษาพยาบาลของเรือนจำไม่สามารถรักษาได้  ผู้บังคับบัญชาเรือนจำ มีอำนาจอนุญาตให้ ส่งตัวไปรับการรักษานอกเรือนจำได้ และถ้าจำเป็นจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากการรักษานอกเรือนจำมี ระยะเวลานาน กฎกระทรวงข้อ 7 กำหนดว่าหากเกิน 30 วัน นอกจากต้องมีความเห็นจากแพทย์ผู้ทำการรักษา และต้องได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หากเกิน 60 วัน นอกจากอธิบดีต้องให้ความเห็นชอบแล้ว ต้องรายงานให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ และหากเกิน 120 วัน ต้องรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบ

ถามว่าเกิน 120 วันจะเป็นอย่างไร? คำตอบคือ กฎกระทรวงฉบับนี้เขียนไว้เพียงแค่นั้นหมายความว่าจะเกิน 120 วันหรือ 4 เดือน ไปถึง 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็ได้ แต่ต้องเป็นความเห็นของแพทย์ ว่าอาการป่วยยังจำเป็นต้องได้รับการรักษานอกเรือนจำ และได้รับความเห็นชอบจากอธิบดี และแจ้งปลัดกระทรวงกรณีเกิน 60 วัน และแจ้งรัฐมนตรีกรณีเกิน 120 วัน

โดยสรุปคือ ตราบใดที่คุณทักษิณยังป่วยถึงขนาดโรงพยาบาลของเรือนจำยังรักษาไม่ได้ ก็ยังรักษาตัวข้างนอกได้ แต่ถ้าหายแล้ว ก็ต้องกลับมาต้องขังในเรือนจำ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเห็นแพทย์ และการให้ความเห็นชอบของอธิบดีในกรณีเกิน 30 วันดังที่ได้กล่าวไปครับ

ความจริงแล้ว เป็นเรื่องถูกต้อง ที่ผู้ต้องขังที่ป่วยควรสามารถไปรับการรักษาพยาบาลนอกเรือนจำได้ ถ้าโรงพยาบาลของเรือนจำรักษาไม่ได้หรือไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาได้

แต่เนื่องจากกรณีนี้อาจจะมีคำถามและข้อสงสัยกันมากว่า ป่วยถึงขนาดต้องรักษานอกเรือนจำจริง หรือเป็นเรื่องของ “ดีล” หรือไม่ ดังนั้น หากครบ 30 วันแล้ว (ซึ่งจะครบ 30 วันในวันที่ 21 กันยายน) แพทย์ผู้ทำการรักษาเห็นว่ายังต้องรับการรักษานอกเรือนจำต่อไป อธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งจะเป็นผู้ให้ความเห็นชอบก็ควรต้องมีการ แถลงต่อสาธารณชน และตอบคำถาม เพื่อไม่ให้สังคมสงสัยว่า เป็นเรื่องอภิสิทธิ์ หรือการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมอย่างที่ผู้คนรู้สึกกัน แล้วหากจะต้องรักษาเกิน 60 วันปลัดกระทรวงยุติธรรมก็ต้องแถลง และหากจะเกิน 120 วัน รัฐมนตรีก็ต้องเป็นผู้แถลง

เรื่องนี้ต้องทำให้เป็นการปฏิบัติที่โปร่งใสและเสมอภาค ผู้ต้องขังไม่ว่าใครจะยากดีมีหรือจน หากป่วยแล้วโรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ก็พึงได้สิทธิและโอกาสในการออกมารักษาตัวนอกเรือนจำเช่นเดียวกัน และอยู่ภายใต้หลักว่า ถ้าหายป่วยแล้วก็ต้องกลับไปเข้าเรือนจำ หากไม่ทำดังที่ว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องใหญ่และกระทบรัฐบาลแน่นอนครับ”

ท่ามกลาง ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไม่อยากพูดถึง หรือให้พาดพิง โดยเฉพาะ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เมื่อผู้สื่อข่าวถามกรณีที่มีการพาดพิงถึงบุคคลที่อยู่ชั้น 14 อาจได้รับอานิสงส์ไปด้วย(จากพ.ร.บ.นิรโทษกรรม) “ภูมิธรรม” ย้อนถามว่า ชั้น 14 ที่ไหน ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หมายถึงนายทักษิณ “ภูมิธรรม” ทำหน้างง แล้วกล่าวต่อว่า “ท่านทักษิณอยู่ชั้น 14 หรอ ผมไม่ทราบคุณพูดถึงอะไร”

ยิ่งทำให้คำว่า“อภิสิทธิ์ชน”เห็นภาพเด่นชัด และกลายเป็น “อาวุธ” อันแหลมคม ทิ่มตำรัฐบาลเศรษฐาไม่หยุดหย่อน เพราะอย่าลืมว่า พรรคเพื่อไทย อยู่ใต้การกุมบังเหียนของใครมาแต่ต้น ยิ่งเวลานี้ คนที่กุมอำนาจภายในพรรคอย่างเป็นทางการ ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร หัวหน้าพรรค และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ก็คือ“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของ พรรคเพื่อไทย  

ที่เห็นได้ชัด เพจเฟซบุ๊ก สมชัย ศรีสุทธิยากร ของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ระบุว่า

“หลังจากเปิดรับฟังคำถามจากประชาชนที่ข้องใจเรื่องกรณีนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรอยู่รักษาตัวนอกเรือนจำแบบเกินงาม 

ผมเห็นว่า กมธ. ติดตามงบประมาณ ที่มี คุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ก้าวไกล เป็นประธาน สมควรรักษาผลประโยชน์งบประมาณแผ่นดิน ด้วยการมีหนังสือเชิญ ผู้บริหารรพ.ตำรวจ มาพบกรรมาธิการ เพื่อตอบคำถามในประเด็นเหล่านี้

1. ห้องพักที่ใช้ให้แก่คนไข้ VVIP ชั้น 14  มีงบประมาณในการก่อสร้างเท่าไร ค่าตกแต่งเท่าไร ใช้งบประมาณส่วนใด มีระเบียบการเข้าใช้อย่างไร มีการคิดค่าเช่าวันละเท่าไรในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ให้บริการแก่ผู้ป่วยกี่ราย เป็นผู้ป่วยจากราชทัณฑ์ส่งตัวมากี่ราย

2. ตั้งแต่คุณทักษิณมาพักรักษาตัวในฐานะคนไข้พิเศษ 100 วัน ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปแล้วเป็นเงินเท่าไร  รพ.ตำรวจต้องใช้งบประมาณในการรักษาเท่าไร และจ่ายเบี้ยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความปลอดภัยไปแล้วเท่าไร

3. ขอรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในด้านการสนับสนุนโรงพยาบาลตำรวจการรักษาพยาบาลของตำรวจในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ว่า ใช้จ่ายในเรื่องใดบ้าง และ มีผลการดำเนินการอย่างไร

4. เสนอให้ กมธ. ติดตามงบประมาณ ไปเยี่ยมชม รพ.ตำรวจ และขอชมสภาพห้องพักผู้ป่วย VVIP ชั้น 14 โดยไม่เป็นการรบกวนคนไข้ที่รักษาตัวในพื้นที่ดังกล่าว

สัปดาห์นี้เสนอไม่ทัน เดี๋ยวรอเสนอสัปดาห์หน้า ไม่ต้องรีบออกนะครับ”

เชื่อเถอะ! หากเป็นไปตามที่แหล่งข่าวในกรมราชทัณฑ์เผยว่า กรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างจัดทำระเบียบรองรับกฎกระทรวงกำหนดสถานที่อื่น ที่ “ไม่ใช่เรือนจำ” เป็นสถานที่คุมขัง ซึ่งแก้ไขไว้สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็น รมว.ยุติธรรม โดยระเบียบอาจประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า

กระแสต่อต้าน และโจมตีรัฐบาลเศรษฐา ประเด็น “อุ้มทักษิณ” พ้นคุก จะยิ่งทวีความรุนแรง คนที่รักความเป็นธรรม จะยังนิ่งดูดายได้ ก็ให้มันรู้ไป!?