'ทักษิณ' สลายขั้วขัดแย้ง 'แม่ทัพใหญ่' สกัดก้าวไกล

ดูเหมือนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด ในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ และรวมเอาแทบทุกพรรคในขั้วอำนาจเก่ามาร่วมรัฐบาล ด้วยข้ออ้างสลายขั้วขัดแย้งทางการเมือง หรือ ยุติสงครามสีเสื้อ “เหลือง-แดง” จะไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างที่คิด
แต่นี่ อาจเป็นการจัดกระบวนทัพทางการเมืองใหม่ ของขั้วอำนาจฝ่ายอนุรักษนิยม เพื่อที่จะรับมือกับ “ศึกใหม่” ภายใต้การนำของ พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ที่มีฐานเสียงใหญ่คือ “คนรุนใหม่” และประชาชนทั่วไปที่มีความคิดก้าวหน้านั่นเอง
แน่นอน, ปรากฏการณ์พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 แบบเหนือความคาดหมาย ได้ส.ส. 151 ที่นั่ง ชนะพรรคเพื่อไทย ซึ่งกระแสนิยมช่วงหาเสียงเลือกตั้งนำมาตลอดถึง 10 ที่นั่ง เริ่มทำให้ฝ่ายอำนาจอนุรักษนิยม หันมาให้ความสนใจพรรคก้าวไกล ในฐานะศัตรูทางการเมืองที่น่ากลัวมากขึ้น
เพราะอย่าลืม นโยบายส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกล ล้วนเน้นหนักไปที่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ ทั้งปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ แก้ไขป.อาญา ม.112 (กฎหมายว่าด้วยเรื่องหมิ่นสถาบันฯ) ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ทลายทุนผูกขาด เรื่องสิทธิความเท่าเทียมของชนกลุ่มน้อย พร้อมสโลแกนคำโต “เลือกก้าวไกล เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ” ทั้งหมดล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อขั้วอำนาจอนุรักษนิยม และทุนผูกขาด ซึ่งแม้จะมีนโยบายประชานิยมอื่น อย่างเช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาทถ้วนหน้า แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า นั่นคือ ส่วนประกอบ ไม่ใช่เป้าหมายหลัก
ดังนั้น การชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งที่ตัวผู้สมัครส.ส.ส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจาก “บ้านใหญ่” ทางการเมือง หรือ นักการเมือง ที่มีฐานเสียงเดิมอยู่แล้วอย่างเหนียวแน่นจึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และเปลี่ยนแปลงประเทศ ตามธงนำที่พรรคก้าวไกล ใช้เป็น “จุดขาย”
ที่สำคัญ ถ้ายังขืนให้พรรคก้าวไกล สร้างแนวร่วมในวงกว้าง ขยายผลทางการเมืองครอบคลุมทั้งประเทศ โอกาสที่พรรคก้าวไกลจะชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ หรือถล่มทลาย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็มีความเป็นไปได้สูง
ความจริง พรรคก้าวไกล อาจถูกจับตามองมาตั้งแต่ ก่อนเลือกตั้งแล้ว โดยเฉพาะการประกาศนโยบายแก้ไข ป.อาญา ม.112 ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่คนรุ่นใหม่ และม็อบ3 นิ้ว เคลื่อนไหวเรียกร้อง รวมทั้งแกนนำม็อบและผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากถูกดำเนินคดี และถูกฟ้องศาล จนพรรคก้าวไกล ถูกมองจากฝ่ายขั้วอำนาจอนุรักษนิยม ว่า เป็นตัวแทนของการต่อสู้ดังกล่าว และจ้องสกัดกั้นมาตั้งแต่นั้น
ที่เห็นได้ชัด แทบทุกพรรคประกาศเป็นเสียงเดียวกัน จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลหรือ พรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไข ป.อาญา ม.112 ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และแม้แต่พรรคเพื่อไทย ก็ยังอ้าง เรื่องเศรษฐกิจที่จะต้องแก้ไขก่อน
นั่นก็แสดงให้เห็นตั้งแต่ช่วงก่อนรู้ผลเลือกตั้งแล้วว่า หากพรรคก้าวไกล ไม่ได้ที่นั่งส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คือ 376 ที่นั่ง หรือ รวบรวมเสียงส.ส.ร่วมรัฐบาลได้ไม่ถึง376 เสียง โอกาสที่ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของ พรรคก้าวไกล ซึ่งก็คือ นายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ จะผ่านการโหวตของรัฐสภา เป็นเรื่องยาก เพราะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก “ส.ว.” และเป็นที่ทราบกันดีว่า ส.ว.ชุดนี้ 250 คน แต่งตั้งจาก “คสช.”(คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์อาชา) แค่นี้ ก็รู้แล้วว่า ผลจะเป็นอย่างไร ที่สุดนายพิธา ก็ไม่ผ่านการโหวตเลือกนายกฯของรัฐสภา
ยิ่งกว่านั้น การที่ “พิธา” และ พรรคก้าวไกล ยังคงยืนยัน แก้ไข ป.อาญา ม.112 แม้รู้ทั้งรู้ว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ส.ว.ส่วนใหญ่ ไม่โหวตเลือก “พิธา” เป็นนายกฯ ทั้งยังทำให้พรรคการเมืองแทบทุกพรรค ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลด้วย ยิ่งเท่ากับปิดประตูตายที่ “พิธา” และพรรคก้าวไกล จะได้เป็นรัฐบาล อย่าว่าแต่การเป็นแกนนำจัดตั้ง แม้แต่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้แล้ว
กระทั่งในที่สุด การจัดตั้งรัฐบาลตกมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับสอง “เกม” ทุกอย่าง จึงมาเข้าทางฝ่ายอนุรักษนิยม เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นที่รู้กันดีว่าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่ “คนแดนไกล”
กระนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทย พยายามทำให้เห็นก็คือ ดิ้นรนจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคร่วมเดิมที่มี “ก้าวไกล” อยู่ด้วย อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ต้องยอมรับการปฏิเสธของ ส.ว. และส.ส.ขั้วตรงข้าม ว่า ไม่อาจหนุนแนวคิดแก้ไข ป.อาญา ม.112 และพรรคก้าวไกลได้นอกจากนี้ทุกพรรคยืนยันจะไม่ร่วมรัฐบาล หากมีพรรคก้าวไกลอยู่ด้วย
เป็นบทสรุปที่นำมาสู่ทางเลือกตั้งรัฐบาล “ข้ามขั้ว” หรือ “สลายขั้วขัดแย้ง” (ข้ออ้างของพรรคเพื่อไทย) เพราะเห็นว่า มีความจำเป็นต้องเร่งตั้งรัฐบาล แก้ปัญหาประชาชน รออีก10 เดือนให้ส.ว.ชุดนี้หมดวาระตามข้อเสนอของพรรคก้าวไกลไม่ได้
ขณะเดียวกัน พลันเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน โดยประกาศกลับไทยมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย พร้อมติดคุก และใช้ชีวิตบั้นปลาย “เลี้ยงหลาน” เพียงแต่วัน เวลา ยังไม่แน่นอน โดยตอนแรก “อุ๊งอิ๊ง”น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ประกาศหนักแน่นว่าจะกลับวันที่ 10 สิงหาคม แต่ก็ต้องยอมผิดคำพูด เพราะต้องเลื่อนมาวันที่ 22 สิงหาคม วันเดียวกับที่รัฐสภา โหวตเลือกนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงอันท่วมท้น
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าคิด มาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว กรณีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม2566 วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวชื่อดังสายทหาร ไลฟ์สดผ่าน Youtube เผยเบื้องหลังที่มาที่ไปการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เชิญชวนพรรคร่วมรัฐบาลเก่า มาหารือเรื่องการหาทางออกของประเทศอย่างรวดเร็วทันใจ
สาระสำคัญ วาสนา ชี้ว่า พรรคเพื่อไทย และกลุ่มอดีตพรรคร่วมรัฐบาล มีการพูดคุยกันมานานแล้ว
ทั้งนี้ วาสนา ระบุว่า “ในกลุ่มผู้มีอำนาจในขณะนี้ ถือว่า ก้าวไกลเป็นอันตรายที่สุด จึงพุ่งเป้าจัดการไปที่ก้าวไกล และมีการตกลงสลายขั้วเหลือง-แดง เพื่อให้เพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล โดยจะให้ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงมีเงื่อนไขให้ทักษิณกลับบ้าน ไม่ถือเป็นศัตรูอีกต่อไป ขณะที่บทบาท 3 ป.ถอยไปอยู่ข้างหลัง”...
วันนี้ สิ่งที่ “วาสนา” วิเคราะห์เอาไว้เป็นจริงทุกอย่าง ทั้ง “ทักษิณ” กลับบ้าน “เศรษฐา” เป็นนายกฯ “3 ป.” ถอยจากการเมือง และ “ก้าวไกล” คือ อันตราย ที่จะต้องสกัดไม่ให้เข้าสู่อำนาจ
สิ่งที่น่าสังเกตเช่นกันก็คือ การโหวตเลือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯของรัฐสภา พบว่า ในจำนวน 482 ที่มีมติเห็นชอบ มาจากส.ว.ถึง 152 เสียง และนัยว่ากว่า100เสียง คือ “สายตรง” พล.อ.ประยุทธ์
ไม่เพียงเท่านั้น ภาพบรรยากาศการเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอคำแนะนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน ยังเต็มไปด้วยความชื่นมื่น เคารพนอบน้อม ชี้ชมอะไรต่างๆ ราวกับไม่เคยขัดแย้ง หรือ โจมตีกันมาก่อน จนทำเอา “เหลือง-แดง” ออกมาเคลื่อนไหวสลายขั้วปรองดองกันทางโลกโซเชียลตามไปด้วย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) วิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าสนใจ จากการเผยแพร่บทความ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Pibhop Dhongchai ระบุว่า
“ทักษิณกลับบ้าน
ชัยชนะยกแรกของกลุ่มอำนาจนิยม ทุนนิยม อนุรักษ์นิยม
กลับมาทำไมในตอนนี้ ที่ถึงอย่างไรก็ต้องติดคุก มันไม่เท่อย่างที่ตัวเองประกาศไว้
ทันทีที่ทักษิณเหยียบแผ่นดินไทยตอนเช้า ตอนเย็นรัฐสภาฯไทย ก็มีมติเลือกคนของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากหนีคดีไป 18 ปี ทักษิณก็กลับบ้านอย่างเท่ๆ เหมือนจักรพรรดินโปเลียนหนีออกจากเกาะเอลบากลับมาเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศส เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา และมาจัดการกับคนที่บังคับให้ตัวเองไปอยู่เกาะเอลบา
คนตั้งคำถามกันมากว่า ทักษิณกลับมาทำไม ทำไมไม่รอให้รัฐบาลของตัวเองออกพรบ.นิรโทษกรรมให้สำเร็จเสร็จสิ้นเสียก่อน การกลับมาตอนนี้ ตอนที่พรรคก้าวไกลแลนด์สไลด์จนเกือบได้เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความกลัวของกลุ่มทุน ขุนทหารและชนชั้นสูง และใครๆก็คาดหมายได้ว่า บทบาทในรัฐสภาฯของพรรคก้าวไกลในสมัยนี้จะแลนด์สไลด์ชนิดฟ้าถล่มดินทลายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
แผนการสกัดพรรคก้าวไกล จึงต้องเริ่ม ณ วันนี้ และคนที่จะสกัดได้ คือคนที่ชื่อ “ทักษิณ” เท่านั้น
ทักษิณเป็นตัวแปรที่ทำให้ พรบ.นิรโทษกรรมไปไม่ได้ การนำตัวทักษิณกลับมาติดคุกให้ครบกระบวนการตามกฎหมาย แล้วขออภัยโทษ การออก พรบ.นิรโทษกรรมก็จะสำเร็จเพื่อน้องสาวที่อยู่แดนไกลและคนเสื้อแดง
ทักษิณ ก็จะนำทัพสู้ศึกกับก้าวไกลอีก 4 ปีข้างหน้าได้ เหมือนศึกวอเตอร์ลู
ที่ใครๆ คาดหมายว่า ก้าวไกลจะแลนด์สไลด์สมัยหน้า ก็จะกลายเป็นคำถามใหญ่คำถามใหม่ เมื่อเจอกับ “นักการขายในตลาดการเมืองที่ยิ่งใหญ่” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มานำทัพเพื่อไทยสู้ศึก เหมือนสมัยเมื่อ 50 ปีก่อน รัฐไทยกลัวคอมมิวนิสต์จนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 แล้วให้ขุนทหารสู้ศึกคอมมิวนิสต์ผ่านการเลือกตั้ง ผ่านการรัฐประหาร มาจนถึงวันนี้
เพียงแต่สงครามครั้งนี้ ทักษิณ ต้องไม่ติดหล่มตัวเองเหมือนจักรพรรดินโปเลียนในประวัติศาสตร์ที่ศึกวอเตอร์ลู มิฉะนั้นทักษิณก็จะต้องจบตัวเองแบบตัวละครใน Death of Salesman ของ อาร์เธอร์ มิลเลอร์
ใครวางแผนงานการเมืองให้กลุ่มอนุรักษ์นิยม ทุนนิยม ในคราวนี้ ต้องยกนิ้วให้”
หรือว่า “ทักษิณ” คือ คนที่ถูกเลือก เพื่อมาเป็น “แม่ทัพใหญ่” สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า สกัดพรรคก้าวไกลไม่ให้แลนด์สไลด์ เพราะฝีมือ และผลงานที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะ “คนรากหญ้า” ยังเชื่อมั่น และศรัทธา “ทักษิณ” อีกอย่าง หลายพรรคการเมืองในฝ่ายอนุรักษนิยม ต่างเสื่อมศรัทธาในสายตาประชาชน ไม่มีพรรคไหนที่จะเป็นหัวหอก หรือ แกนนำในการต่อสู้ได้
แล้วก็ไม่แปลก ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย จะเร่งฟื้นศรัทธาผลักดันแก้ปัญหา ราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า พักหนี้เกษตรกร และอาจรวมถึง หนี้ครู หนี้ตำรวจ เอาใจประชาชน อย่างกระตือรือร้น ตั้งแต่รัฐบาลยังไม่ทันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ด้วยซ้ำ
นี่คือ เกมรุกทางการเมืองของฝ่ายขั้วอำนาจอนุรักษนิยม ควบคู่ไปกับ การได้อำนาจรัฐมาอยู่ในมือเรียบร้อยก็ว่าได้ ที่น่าจับตา ก็คือ ฝ่ายพรรคก้าวไกล จะรุกกลับอย่างไร ในบริบทที่ค่อนข้างเสียเปรียบ ซึ่งหลังพิงประชาชนเท่านั้นที่จะเอาตัวรอด หรือก็ไม่แน่ ยิ่งถูกบดบี้จนไม่เหลืออะไร ถูกสกัดกั้นมากเท่าใด ก็อาจยิ่งทำให้กระแสพุ่งทะลัก เหมือน“เขื่อนแตก” ก็เป็นได้ ใครจะรู้!?







