'เพื่อไทย' เสี่ยง 'ดาบสองคม' ยุทธศาสตร์เลือกพรรคเดียว

'เพื่อไทย' เสี่ยง 'ดาบสองคม' ยุทธศาสตร์เลือกพรรคเดียว

เลือกตั้ง 2566 ในที่สุด “พรรคเพื่อไทย” ก็แสดงความ “เขี้ยวลากดิน” เหลี่ยมคูการเมืองสูงออกมาให้เห็น

นั่นคือ การปลุกกระแสเลือกแบบ “ยุทธศาสตร์” ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ที่กำลังจะมาถึง

อะไร คือ เลือกตั้งแบบ “ยุทธศาสตร์” และเหตุผลที่ต้องเลือกตั้งแบบ “ยุทธศาสตร์”  

“เดอะอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก(16 มี.ค.66) ในหัวข้อ “การเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์เพื่อไม่ให้คะแนนสูญเปล่า : หยุดระบอบประยุทธ์” โดยระบุบางตอนว่า

“การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการใช้อำนาจของประชาชนเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงหยุดระบอบประยุทธ์ ซึ่งกัดเซาะ บั่นทำลาย ความหวังของประชาชน ด้วยการเลือกพรรคการเมือง อย่างพรรคเพื่อไทย ให้เกิน 310 เสียง

ทำไมต้องเลือกพรรคเพื่อไทย เพื่อหยุดระบอบประยุทธ์

เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับ1 ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งนับตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย เป็นเวลาเกือบ 20 ปี

เพราะพรรคเพื่อไทย และ ทีมของเพื่อไทย มีประสบการณ์เป็นรัฐบาลบริหารประเทศแก้ไขปัญหา ให้พี่น้องประชาชน ได้ฝากผลงานเชิงประจักษ์มาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย อย่างเช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเปลี่ยนโครงสร้างของระบบสาธารณสุขครั้งใหญ่ของประเทศ นโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ใช้หลักการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการกระจายเงินและการตัดสินใจโดยตรงไปที่ประชาชนในทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

เพราะพรรคเพื่อไทยมีความพร้อมของบุคลากรทางการเมืองทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความพร้อมที่จะเข้ามาบริหารจัดการปัญหาทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน และเชื่อมประสานได้กับทุกภาคส่วน /มีผู้สมัคร ส.ส แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีทั้งผู้มีประสบการณ์ในด้านต่างๆ และคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ /โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. เขต ที่ถือเป็นด่านหน้าที่สำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมประสานระหว่างพรรคกับพี่น้องประชาชนในแต่ละเขตพื้นที่ ซึ่งพรรคให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการคัดเลือกคนที่ใช่ที่สุดในการเป็นผู้แทนเข้าไปทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

และที่สำคัญคือ เพราะพรรคเพื่อไทย ยืนหยัดดำรงจุดมุ่งหมายและเชื่อมั่นในหลักการประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มีการรัฐประหาร ปี 2549

วันนี้พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมทั้งด้านนโยบายที่เรามั่นใจว่า “คิดใหญ่ ทำเป็น” พร้อมด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพในทุกระดับ พร้อมด้วยฐานที่มั่นประชาธิปไตยของพี่น้องประชาชนที่ร่วมเคียงข้างกันมา

ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่อาจตัดสินใจเป็นอื่นไปได้ นอกจากการเลือกเชิงยุทธศาสตร์

เลือกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เลือกเพื่อปิดสวิชต์ ส.ว. 250 เสียง ด้วยการลงคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ...”

แต่เรื่องนี้มีความเห็นที่น่าสนใจ จากฝ่ายที่ถือหาง “พรรคก้าวไกล” อย่าง นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ต้องหาคดี ม.112 ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส ที่ออกมาโต้พรรคเพื่อไทย อย่างทันทีทันควัน ผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจ Somsak Jeamteerasakul ว่า  

“โหวตทางยุทธศาสตร์ แปลว่าอะไร? ก็แปลว่า โหวตข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นพรรคเดียวที่มีโอกาสจะเป็นรัฐบาล

พูดกันจริงๆ ถ้านับว่า พรรคไหนตลอด 4(8)ปี ที่ผ่านมา ออกมาเปิดโปงคัดค้านประยุทธ์และ 3 ป คำตอบไม่ใช่พรรคเพื่อไทยแน่นอน พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคที่ออกมาเล่นงานรัฐบาลเรื่องต่างๆจนเป็นข่าวคราวทางสื่อมวลชนมากที่สุด ถ้าไม่เชื่อลองไล่ดูก็ได้ (ถ้านับ 8 ปีก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่)

แต่พอครบ 4 ปี ก็ให้เลือกเพื่อไทย เพราะเพื่อไทยใหญ่สุด

อย่างนี้มันชอบกล”

แน่นอน, ย่อมมีความเห็นที่สอดคล้องกับ “สมศักดิ์ เจียม” หลายคน โดยเฉพาะ “ติ่งก้าวไกล” ที่เชื่อว่า พรรคที่ยึดมั่นและแสดงบทบาท ต่อสู้ ต่อต้าน “เผด็จการ คสช.” หรือ “3 ป” มาตลอด ก็มีแต่พรรคก้าวไกล จนบางครั้งต้องขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทย กรณี “เลือกรัฐมนตรี” ที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะพรรคเพื่อไทยมี “เกมการเมือง” นั่นเอง

ที่น่าคิดไปกว่านั้น “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์กรณีพรรคเพื่อไทย ตั้งเป้าหมายเลือกตั้ง จะได้ส.ส. 310 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว

โดยชี้ประเด็นความเป็นไปได้มีมากแค่ไหน ว่า

“จำนวนผู้แทนราษฎร 400 เขต ถามว่า ใน 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 60 เขตนั้น พรรคเพื่อไทยจะได้ตรงไหนเพียงเสียงเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเสียพื้นที่ไป 60 เสียง จะเหลือ 340 เสียง ซึ่งใน 340 เสียง หากเพื่อไทยต้องการ 310 เสียง จะต้องได้ส.ส.ระบบเขตอย่างน้อย 270 เสียง เหลือเพียง 70 เขตให้พรรคการเมืองอื่นๆ เท่านั้น

“ทางการเมืองเป็นไปไม่ได้เลย เหลือเพียง 70 ให้พรรคการเมือง อย่าง ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล ไทยสร้างไทย และพรรคอื่นๆ ถามว่า เป็นไปได้ไหม แต่เมื่อมีการสร้างกระแสแลนด์สไลด์ขึ้นมา จากที่ไม่มีอะไร มาตั้งเป้า250 แป๊บเดียวบอก 270 เผลอแป๊บเดียวไป 310 เสียง อันนี้เป็นอาการที่น่าเป็นห่วง”

“ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ 310 เสียง แปลว่า พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย ของ คุณหญิงสุดารัตน์(เกยุราพันธุ์) ซึ่งอยู่ซีกเดียวกัน จะไม่ได้ ส.ส.สักเสียงเดียว ในทางการเมือง ณ เวลานี้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องการประกาศแลนด์สไลด์ ที่จะสร้างอุปาทานหมู่โดยไม่ได้อธิบายความว่าจะเอาคะแนนมาจากตรงไหน อย่างไร...”

อะไรไม่สำคัญเท่ากับ สิ่งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษา “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าว ในงาน “คิดใหญ่ ทำเป็นเพื่อไทยทุกคน” เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ทั้ง 400 เขต รวมถึงแถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมล็อตใหม่ที่จะใช้ในการเลือกตั้ง บางตอน ว่า

“...พรรคเพื่อไทยจะคืนสิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพของประชาชน ทุกคนมีประสบการณ์ความไม่เท่าเทียมในสังคม ทั้งกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม เส้นสาย ที่เห็นคนไม่เท่ากัน คนรวยใหญ่คับฟ้า และมีอภิสิทธิ์ใช้กฎหมายเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ศักดิ์ศรีคนธรรมดาถูกด้อยค่า เป็นเรื่องที่ตนคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลเพื่อไทย ตั้งใจเปลี่ยนการเกณฑ์ทหารให้เป็นระบบสมัครใจ ให้อาชีพทหารต้องแข่งขันกับภาคเอกชน พัฒนาระบบการฝึกเพื่อตอบคำถามได้ว่า เป็นทหารแล้วได้อะไร จบแล้วทำอะไรต่อ ทั้งสายอาชีพทหารและพลเรือน เพื่อให้สถาบันทหารมีความเป็นมืออาชีพ ได้รับการยกย่องในฐานะรั้วของชาติ สำหรับเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศที่ถูกด้อยไปหลายอย่างเช่น สิทธิประกันสังคม สวัสดิการ การหมั้น การอุ้มบุตร พรรคเพื่อไทยจะสร้างความเสมอภาคให้สิทธิคนทุกกลุ่มได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะเราเชื่อว่า ทุกคนเท่ากันโดยปราศจากเงื่อนไขเพศสภาพ จะแก้ไขกฎหมายคืนสิทธิทุกคนอย่างครบถ้วน ตนอยากเห็นคนเท่ากัน คนรวย คนจน ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ทุกคนคือคนเหมือนกันมีสิทธิมีเสียงเท่ากัน...”

เห็นได้ชัดว่า นโยบายหลายอย่าง ที่ “พรรคก้าวไกล” ชูเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็มีเหมือนกัน ขาดอยู่ก็แต่ แก้ไข หรือ ยกเลิกม.112 เท่านั้น

หมากเกมนี้จึงไม่เพียง ปลุกกระแสประชาชนเลือก “เพื่อไทย” แบบ “ยุทธศาสตร์” เท่านั้น หากแต่ยังต้องการ “กินรวบ” กระแสนิยม พรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน ด้วยการมีนโยบายครอบคลุมนโยบายฝ่ายค้านด้วยกันเอาไว้แทบทั้งหมด

จึงไม่แปลกที่ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” จะรีบออกมาจับทางว่า เลือกแบบ “ยุทธศาสตร์” คือ เลือก “ข้าพเจ้า(แต่เพียงผู้เดียว)” เพราะข้าพเจ้า เป็นพรรคใหญ่สุดในซีกฝ่ายค้านหรือ ที่เรียกว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” จึงมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล

และสิ่งที่ “จตุพร” พยายามชี้ให้เห็น ก็คือ ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ 310 ที่นั่ง ก็เท่ากับพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ ฝ่ายประชาธิปไตย พรรคอื่นไม่ได้ที่นั่งเลย หรือ แม้แต่พรรคในซีกรัฐบาลปัจจุบัน ก็อาจเหลือส.ส.เขตให้แย่งกันเพียง 70 ที่นั่ง เพราะประมาณการว่า ถ้าเพื่อไทยได้ 310 ที่นั่ง ส.ส.เขตอย่างน้อยต้องได้ 270 ที่นั่ง ซึ่งยากเป็นไปได้

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ถือว่า พรรคเพื่อไทย “เล่นเกมเสี่ยง” และมีโอกาสที่จะเป็น “ดาบสองคม” สูง

เพราะอย่าลืม คนที่ “เบื่อประยุทธ์” และ ต้องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจาก “3 ป” หรือ ภายใต้อำนาจ “คสช.” ต้องการให้ “เพื่อไทย – ก้าวไกล – พรรคร่วมฝ่ายค้าน” จับมือกันตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งอยากเห็นความร่วมมือความสามัคคี ของ พรรคการเมืองฝ่ายนี้ เพื่อสู้กับ “3 ป”  

แต่ “พรรคเพื่อไทย” ขอชนะแบบ “แลนด์สไลด์” หรือถล่มทลาย จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวรวมทั้งต้องการ 310 ที่นั่ง ซึ่งแน่นอน จะต้องแย่งจากฝ่ายเดียวกัน เพราะฐานเสียงส่วนใหญ่ เป็นฝ่ายเดียวกัน นั่นเท่ากับ ยังไม่ทันไร ก็ตั้งตัวเป็น “คู่แข่ง” หรือ “ศัตรูทางการเมือง” กันแล้ว ใช่หรือไม่?

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในการหาเสียงเลือกตั้ง เท่ากับพรรคเพื่อไทย จะต้อง “โดนรุม” โจมตีหรือ “ดิสเครดิต” อย่างหนัก ทั้งจากฝ่ายรัฐบาล “ประยุทธ์” และฝ่ายค้านด้วยกัน เพราะเกมต่อสู้ที่ไม่เป็นมิตรกับใคร?

ยิ่งกว่านั้น ถ้าผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่า ไม่ได้ตามเป้า 310 ที่นั่ง และไม่แลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทยจะมีหน้าไปขอจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับ พรรคก้าวไกล และอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันหรือไม่ โดยต้องดูก่อนว่า ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เล่นกันรุนแรงแค่ไหนหรือไม่?

หรือ “พรรคเพื่อไทย” มี “ขั้วรัฐบาล” ในใจอยู่แล้ว ที่ไม่จำเป็นต้อง “ง้อ” พรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน โดยเฉพาะการจับมือกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคพลังประชารัฐ ตั้งรัฐบาล “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”?

และหรือ การเมืองไทย “ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร” ผสมพันธุ์ไม่เลือกฝ่ายได้หน้าตาเฉยอยู่แล้ว!?