'ทักษิณ' กลืนไม่เข้าคายไม่ออก 'จตุพร' ป่วนทางฝันแลนด์สไลด์

'ทักษิณ' กลืนไม่เข้าคายไม่ออก 'จตุพร' ป่วนทางฝันแลนด์สไลด์

จริงหรือไม่ ก็นับว่าน่าคิด กรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ “ตู่” วิทยากรคณะหลอมรวมประเทศไทย เฟซบุ๊กไลฟ์ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “สุจริตเป็นเกราะกำบัง” (31 ม.ค.66)

พูดเอาไว้ช่วงหนึ่งว่า ...“วันนี้เกิดกระแสคนที่จะหยุดทักษิณได้มีคนเดียวก็คือประยุทธ์(พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เห็นมั้ย อยู่ดีไม่ว่าดี เขาเพลี่ยงพล้ำอยู่แล้วนอกจากปากไม่ดีกับผมแล้ว ก็ยังไปชุบชีวิตประยุทธ์อีก”

 

“จตุพร” ชี้ประเด็นว่า การที่อยู่ๆ “ทักษิณ” ประกาศจะกลับบ้าน ไม่ต้องแก้กฎหมาย ไม่พึ่งพรรคเพื่อไทย คำถามคือแล้วมายังไง มันอธิบายในทางกฎหมายไม่ได้เลย ทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ ทีนี้ก็เกิดจินตนาการกันไป อีกฝ่ายเขาก็ตั้งหลักได้

 

“ที่ว่าประกาศจะกลับมานั้น จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ที่ผ่านมาก็พูดไม่จริงมาตลอดเส้นทาง แต่พอครั้งนี้เป็นการพูดที่เสียงแข็งแรงขึ้นมา และมีขอโทษของเก่าด้วย เพื่อจะย้ำว่า ครั้งนี้ของจริงนะ เห็นมั้ย ประยุทธ์ที่พะงาบๆตาลอยแล้ว เด้งดึ๋งขึ้นทันทีเลย

 

มันคืออะไร เพราะคดีถึงที่สุด 12 ปี จะบอกว่า คนไทยเกิดมาไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ทั้งพวกกองเชียร์(ทักษิณ) แผนกด้อยค่าผมทั้งหลาย และบรรดานักกฎหมาย ช่วยอธิบายหน่อยกลับมาอย่างไร ถ้าไม่ติดคุก”

ต้องยอมรับว่า วันนี้ “ตู่”-จตุพร พรหมพันธุ์ มิใช่ “ตู่-จตุพร” ผู้ภักดีต่อ “ทักษิณ” ในฐานะประธาน นปช. หรือ “คนเสื้อแดง” เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เป็น “ตู่-จตุพร” แห่ง คณะหลอมรวมประเทศไทย ที่จัดเฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน คู่กับ “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “คนเสื้อเหลือง” ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ หลัง“สลายสีเสื้อ” และยุติบทบาทเสื้อแดง   

 

ก่อนหน้านี้ “ตู่-จตุพร” จัดหนัก “ทักษิณ ชินวัตร” นายเก่า แบบรายวัน เป็น “ซีรีส์” ราวกับหนังเกาหลีเลยทีเดียว

 

ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาพูด ล้วนแต่เป็นประเด็นที่ประชาชนสนใจ และสั่นสะเทือนความเชื่อมั่นในตัว “ทักษิณ”

 

ประเดิมด้วยขอวิจารณ์ “ทักษิณ” บ้าง หลังจากวิจารณ์ “ประยุทธ์” เพราะทั้ง “ทักษิณ” และ “ประยุทธ์” ต่างทำให้ประเทศ ประชาชนเสียโอกาส

โดยชี้ให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งแน่ และถึงแม้ว่า จะแลนด์สไลด์ หรือ ถล่มทลาย “ทักษิณ” ก็จะลำพอง เหลิงอำนาจ เอาอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนมอบให้มาละเลง ผลประโยชน์ทับซ้อน ไว้ใจคนอื่นที่ไม่ใช่ประชาชน แล้วที่สุดก็จะถูกรัฐประหารเหมือนเดิม ทำให้ประเทศเสียโอกาส เหมือนกับที่เคยชนะเลือกตั้งมาทุกครั้ง

 

นอกจากนี้ ยังตามมาด้วยการแฉพฤติกรรม “เห็นแก่ตัว” เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเหมือนพ่อค้า ทรยศมวลชนคนเสื้อแดง ทรยศตน ตลอดเส้นทางต่อสู้ร่วม 30 ปี กรณีโกหกแล้วโกหกอีกซ้ำซาก แต่ตัวเอง ก็ทนได้ เพราะรักที่จะทำให้อย่างถวายหัว 

 

สิ่งที่หยิบยกให้เห็น ก็คือ ความพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย หรือ เหมาเข่งโดยเปลี่ยนร่างสอดไส้คดีทุจริตรวมเข้าไปด้วย ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ จนถูกต่อต้านอย่างหนัก และนำไปสู่การประท้วงเพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ก็ทำไม่สำเร็จ จนทำให้มวลชนคนเสื้อแดงที่หวังว่าพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะช่วยให้รอดพ้นคุก ต้องสิ้นหวังตามไปด้วย

 

จน “ทักษิณ” อดรนทนไม่ไหว เมื่อถูกถามถึงการวิจารณ์ของ “จตุพร” ถึงกับหลุดปากออกมาว่า ตนถูกเห่ามา 16 ปี เห่าอีก 2 ตัว คงไม่เป็นไร ยิ่งทำให้ “จตุพร” โต้กลับอย่างดุเด็ดร้อนแรง ทำนอง ถ้าตนเป็นหมาก็เป็นด้วยกัน และ ใช้ไม่ได้ เพราะไม่ซื่อสัตย์ 

 

“ผมกับนายกฯทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกันมาในช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวีดีโอลิงค์ต่างกรรมต่างวาระกันมายาวนานที่สุด ถ้าการพูดของผมเป็นการเห่า บนเวทีนี้ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมหมา ท่านก็หมา ท่านอาจเป็นจ่าฝูง ถ้านับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาด้วยกัน”

 

“จตุพร” ย้ำด้วยว่า ถ้าหลักคิดของทักษิณมองผู้ร่วมต่อสู้ด้วยกันเป็นหมา เป็นตัว แล้วหลีกเลี่ยงการตอบความจริง ดังนั้นท่านต้องนึกช้าๆว่า สิ่งที่ท่านดำเนินการทั้งหมดไปนั้น ถ้าตรงไปตรงมากับประชาชน และไม่พูดถึงตนในทางเป็นเท็จและเกิดความเสียหายในช่วงนี้ แล้วตนจะมาพูดเรื่องนี้ในช่วงนี้ทำไม

 

นอกจากนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าตนคิดถึงผลประโยชน์แล้วจะอยู่กับท่านได้อย่างไรเพราะท่านทรยศหักหลังตนตลอดเวลา โกหกซ้ำซาก โกหกแล้วโกหกอีกซ้ำไปซ้ำมาอย่างไรก็ตาม ตนต้องไปก่อนการยึดอำนาจ เพราะหักกันเรื่องนิรโทษฯ สุดซอย อีกทั้งเรื่องส่วนตัวก็โกหก และทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลง ไม่ว่าเรื่องลงนามรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และเรื่องแก้ รธน. และการทุจริตคอร์รัปชั่น

 

“ผมอยากจะบอกนายกฯทักษิณ ที่ท่านบอกถูกเห่า ผมจะบอกท่านว่า ถ้าผมหมา ท่านก็คือหัวหน้าหมา แล้วเราพูดภาษาหมากันมานานแล้ว หมามันมีคุณสมบัติข้อหนึ่ง (นิ้วเคาะโต๊ะเสียงดัง) คือเรื่องความซื่อสัตย์ ท่านยังเป็นหมาไม่ได้เลย หรือเป็นหมาที่ใช้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือความซื่อสัตย์ระหว่างกัน เพราะแลกชีวิตและตายได้ตลอดเวลา ถ้าเห็นแก่ตัวก็ต้องหนีตามท่านสิ ประเพณีนี้เมื่อหัวหน้าหนีก็จะดี เมื่อผมไม่หนีก็เป็นตัวแปลก อยู่แล้ว” จตุพร เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “เชื่อมั่น...ประชาชน”  (25 ม.ค.2566)

 

ส่วนประเด็น ออกมาแฉ “ทักษิณ” ช่วงใกล้เลือกตั้งมีวาระอะไรหรือไม่ “จตุพร” อ้างกรณี“ทักษิณ” พูด “ด้อยค่า” ตัวเองที่ฮ่องกง ว่า ไปรับงานใครมา เป็นฟางเส้นสุดท้าย

 

“...เหมือนฟางเส้นเดียวทำให้หลังลาหัก ก็คือลามันบรรทุกเต็มแล้ว ผมนี่เต็มแล้ว แต่พอวางฟางอีกเส้นเดียวหลังลาหัก เพื่อจะตอบคำถามว่า ไปรับงานใครมา แล้วที่นายกฯทักษิณไปพูดที่ฮ่องกง ท่านประกาศเอง ท่านไปรับงานใครมา ที่มาดูแคลนผม หลักการเดียวกัน ถ้าท่านไม่มาดูแคลน ผมก็จะนั่งวิพากษ์วิจารณ์ 3ป. แล้วหาทางออกให้ประชาชน...”

 

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่าง “จตุพร” กับ “ทักษิณ” มีข้อมูลว่า ปลายปี 2563 จตุพร นำคณะแกนนำ นปช.สายพีซทีวี ไปเปิดเวทีปราศรัยช่วย บุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ แข่งกับ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร พรรคเพื่อไทย

 

พ่อเลี้ยงบุญเลิศ เปิดเวทีให้ตู่ จตุพร ถึง 7 อำเภอ โดยย้ำประเด็น บุญเลิศอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย และไม่ได้ย้ายฝั่งไปสวามิภักดิ์กลุ่มเผด็จการ

 

ไม่เพียงเท่านั้น “จตุพร” ยังพาดพิง “ทักษิณ” และเยาวภา(วงศ์สวัสดิ์)ในกรณีที่ไม่ดูแลพวกเดียวกัน เมื่อบุญเลิศเจอปัญหากับ คสช. ก็ผลักให้ตระกูลบูรณุปกรณ์ ไปอยู่ฝั่งเผด็จการ

 

การเคลื่อนไหวของ “ตู่-จตุพร” สร้างความไม่พอใจให้ “ทักษิณ”อย่างมาก ช่วงโค้งสุดท้าย “ทักษิณ” ลงทุนเขียนจดหมายถึงชาวเชียงใหม่ให้เลือก “พิชัย” เป็นนายกอบจ.เชียงใหม่ จึงเอาชนะ “บุญเลิศ” ได้เป็นนายก อบจ.เชียงใหม่

 

ใครก็รู้ว่า “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” เป็นสายตรง “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และได้วางตัว“พิชัย” ให้ลงสนามท้องถิ่นมานานแล้ว

 

รวมทั้งมีรายงานข่าวว่า ช่วงปลายปีที่แล้ว แกนนำเพื่อไทยบางกลุ่มไปพบทักษิณที่ฮ่องกง นายใหญ่ก็ยังหยิบเอาเรื่องนี้มาพูดซ้ำ และตำหนิการกระทำของ “จตุพร” อย่างรุนแรง

 

คำพูดของ “ทักษิณ” ในวงรับประทานอาหารที่ฮ่องกง มีหรือ “ตู่- จตุพร” จะไม่รับรู้เพราะประธาน นปช.ทราบทุกการเคลื่อนไหวของคนแดนไกล มีใครไปพบบ้าง ทั้งซีกเพื่อไทย และซีก 3 ป.

 

ยิ่งกว่านั้น นัยว่า “ตู่-จตุพร” เจอกลเกม “ทักษิณ” หลายครั้ง บางคราวก็ต้องกลืนเลือดอย่างกรณีพรรคเพื่อชาติ ที่เริ่มก่อการจากร้านกาแฟพีซ คอฟฟี่ แอนด์ไลบรารี่ ชั้น 5 อิมพีเรียล ลาดพร้าว ช่วงกลางปี 2561 โดยผู้ชายสามคน จตุพร พรหมพันธุ์, สงครามกิจเลิศไพโรจน์ และยงยุทธ ติยะไพรัช

 

“จตุพร” เคยเล่าเบื้องหลังการตั้งพรรคเพื่อชาติว่า มาจากแนวคิดแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อยของคนแดนไกล โดยที่พวกเขามิรู้เลยว่า นายใหญ่ได้ซ้อนแผนตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ ไว้อีกชั้นหนึ่ง

 

หลังเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อชาติ ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 5 คน ประกอบด้วย สงครามกิจเลิศไพโรจน์, ลินดา เชิดชัย, เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล, ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช(ลูกสาวของยงยุทธ) และอารี ไกรนรา

 

เมื่อภารกิจหาเสียงให้พรรคเพื่อชาติเสร็จสิ้น “ตู่-จตุพร” ก็แยกทางกับ ยงยุทธ และสงคราม ไปสร้างอาณาจักรพีซทีวี

 

แต่เรื่องนี้ กลับถูก “เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผู้อำนวยการครอบครัวพรรคเพื่อไทย อดีตเพื่อนร่วมรบ เมื่อครั้งเป็นแกนนำ นปช. นำเอามาโยนผิดให้กับ “ตู่-จตุพร” ว่า เป็นต้นเหตุของการสลายแกนนำ นปช. เพราะตั้งพรรคเพื่อชาติ ไม่ใช่ “ทักษิณ” อย่างที่ “ตู่-จตุพร” ออกมาแฉ

 

โดยข้อมูลของ “เต้น-ณัฐวุฒิ” อ้างว่า ตนเป็นคนโทรศัพท์ไปถาม “ทักษิณ” ว่า รู้เรื่องการตั้งพรรคเพื่อชาติหรือไม่ ซึ่งแกนนำเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย และ “ทักษิณ” บอกไม่รู้เรื่อง จึงมีคำถามว่า ใครโกหกกันแน่?

 

หลังจาก “เต้น-ณัฐวุฒิ” ก็รับมือ “ตู่-จตุพร” ไม่ได้ เพราะมี “แกนนำเสื้อแดง” บางส่วนออกมาหนุนหลัง “ตู่-จตุพร” ว่าพูดความจริง

 

จนต้องหันมาใช้บริการ สุนัย จุลพงศธร และ “โด่ง” อรรถชัย อนันตเมฆ ดารานักแสดงหนึ่งในคนเสื้อแดง ที่สังกัดพรรคเพื่อไทย ออกมาแฉ “ตู่-จตุพร” เจรจากับบางคน ช่วงที่อยู่ในคุก และ “โด่ง” แฉว่า รับงานมา โจมตี “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย เพื่อให้คนไปเลือกพรรคอื่น

 

ทำให้ “ตู่-จตุพร” ฟาดกลับ จนไปไม่เป็นเช่นกัน

 

“ถ้าคนสำคัญไปเจรจาให้มาสลายเสื้อแดง วิธีตรวจสอบง่ายๆ คือ ตนต้องได้รับการอภัยโทษออกจากคุกก่อน แต่ตนไม่ได้อภัยโทษแม้แต่วันเดียว และถ้ามีเงื่อนไขให้ปฏิบัติตามเจรจาแล้ว ทำไมต้องมาถูกขังอีกรอบในคดีเดิม นอกจากนี้ มีเสื้อแดงกลุ่มไหนและใครที่ตนไปเจรจาให้สลายขบวนการ ดังนั้น ใครเดินทางมาพบใครในเรือนจำนั้น คงไม่ได้เป็นตนคนเดียว ส่วนการใส่ร้ายกรณีใส่เสื้อเหลืองนั้น ใครก็ใส่กัน ตระกูลของทักษิณก็ใส่กันทั้งโคตร แล้วทำไมตนใส่แล้วดูเสมือนเป็นปัญหา พร้อมถูกโยงว่ารับงานมาสลายเสื้อแดง ซึ่งก็เกินไป”

 

ส่วนกรณี “โด่ง” แฉรับงานมานั้น “โด่งให้ระบุชื่อมาเลยเป็นใครและใครจ่าย อย่ามาโจมตีลอยๆ แบบชื่อย่อ จ. และใช้ตรรกะชั่วๆ ที่มีคนจ้างเงินก็ไม่รู้จะได้อะไร แม้ใช้ตรรกะเหลือเชื่อ ไม่สมเหตุผลความเป็นจริง มายัดเยียดใส่ร้าย แล้วถ้าเป็นผมไปรับเงิน70-100 ล้าน ก็ขอให้ฉิบหายวายวอด อย่าได้มีความเจริญ และไม่ต้องตายดีด้วย ถึงอย่างนั้น ในสังคมควายก็ยังมีควายที่พร้อมเชื่ออยู่ดี” จตุพร เฟซบุ๊กไลฟ์ ประเทศไทยต้องมาก่อน(31 ม.ค. 66)

 

อย่างที่กล่าวแล้วว่า งานนี้ “ตู่-จตุพร” ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ กับ “ทักษิณ” เรียบร้อยเพราะฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นลงแล้ว การออกมาแฉรายวันจนถึงช่วงเลือกตั้ง ก็มีความเป็นไปได้ และนั่นย่อมทำให้ “ทักษิณ” กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กับการออกมาแฉของ “ตู่-จตุพร” เพราะจะออกมาโต้กลับ ก็ยิ่งจะถูกแฉแรงขึ้น ตอบโต้หนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า ครั้นจะเงียบ ไม่ยอมตอบโต้ ก็อาจทำให้คนคิดว่า เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ถูก“ดิสเครดิต” จนมีผลต่อความฝันที่พรรคเพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” จึงได้แต่หาคนที่จะมาตอบโต้แทน ซึ่งก็ยากจะรับมือ “ตู่-จตุพร” อย่าลืม 30 ปีถือว่า นานพอ สำหรับการกุมความลับ “ทักษิณ” และ พรรคเพื่อไทย

 

ถึงกระนั้น ในมุมมองของ นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลับมองว่า มีผลกระทบกับแฟนคลับ “ทักษิณ” น้อยมาก  

 

“ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ ก็ไม่ถือเป็นการออกมาเผากันเอง แฟนคลับของทั้งสองคนเข้าใจในเหตุผลของนายจตุพรทำไมถึงออกมาพูดในช่วงนี้ แต่คนไม่รู้ คนนอกจะแปลกใจมากกว่า คิดว่าทั้งสองคนฟาดฟันสาวไส้ ลากไส้กันแรง”

 

นอกจากนี้ นางธิดา ยังยอมรับว่า นายจตุพรพูดแรงแฉแรง แต่ความแรงครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้คนเสื้อแดงแตกหัก เพราะคนเสื้อแดงเลือกฝ่ายการเมืองชัดเจนแล้วว่า จะสนับสนุนใคร เพียงแต่จังหวะและโอกาสอาจจะมาอยู่ในช่วงที่การเมืองกำลังเข้มข้น แต่เชื่อว่าเรื่องที่นายจตุพรพูดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแรงสนับสนุนของคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม แฟนคลับของนายทักษิณก็เลือกพรรคเพื่อไทย

 

ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ การออกมาแฉรายวันของ “ตู่-จตุพร” จนปั่นป่วนการรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทย โดยที่ “ทักษิณ” เอง ก็ยังคงท้าทายสังคมด้วยเกมกลล่อหลอก เรื่องจะกลับบ้านให้ได้ จะทำให้มีผลกระทบต่อชัยชนะเลือกตั้งของ “พรรคเพื่อไทย”  หรือไม่ แค่ไหน

 

เรื่องนี้ ประการแรก ต้องหันไปมองพรรคก้าวไกล ว่าสามารถรองรับฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่มั่นใจ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยจากการออกมาแฉของ “ตู่-จตุพร” ได้แค่ไหน

 

ฝ่ายประชาธิปไตยเข้มข้น และขบวนการ “สามนิ้ว” ทั้งหลาย ไม่ต้องสงสัย เลือกพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว ส่วนที่ไม่มั่นใจ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย จะเลือกก้าวไกลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า รับได้หรือไม่ กับการแก้ไข ม.112 ถ้ารับไม่ได้ โอกาสที่จะหาพรรคอื่นที่ไม่ใช่ก้าวไกล และไม่ใช่พรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการ ก็เป็นไปได้สูง และไม่ว่าจะอย่างไรถือว่า พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนลดลง

 

ประการต่อมา กระแส “สวิงกลับ” มาหา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม จะแรงพอหรือไม่ แค่ไหน เพราะในบรรดา “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ฝ่ายอำนาจปัจจุบัน คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ของฝ่าย “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยคือ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถ้ากระแสไม่มั่นใจ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นอย่างรุนแรง กระแสต่อต้าน และหันไปหา พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะตามมาอีกครั้ง

 

ส่วน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถ้ากระแสความไม่เชื่อมั่น “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย รุนแรง โอกาสที่จะหันมา “ดีล” กับ ฝ่ายอำนาจปัจจุบันด้วยกัน ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะคงไม่ดันทุรังที่จะ “ฆ่าตัวตาย” ทางการเมือง เพื่อให้ “ทักษิณ” และตัวเองสมหวัง

 

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ถ้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ที่นั่งส.ส.อันดับ 1 หรือ 2 ก็แสดงว่า ประชาชนให้โอกาส และ “ชอบธรรม” ที่จะจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน

 

เช่นเดียวกันกับ “พรรคภูมิใจไทย” และพรรคการเมืองอื่น ผลเลือกตั้งจะเป็นตัวตัดสินว่าประชาชนให้โอกาสหรือไม่

 

เหนืออื่นใด ที่น่าจับตามองก็คือ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย จะแก้เกม กรณี “ตู่-จตุพร” เปิดศึกสงครามอย่างไร เพราะถ้าถูกตีทุกวันจนน่วมไปทั้งตัว ถึงวันเลือกตั้งก็ยังไม่ฟื้นโอกาส “ฝันสลาย” ก็เป็นไปได้สูง  

 

อย่าลืม คดีเก่าก็ยังตามหลอกหลอน ไหนจะคดีใหม่ที่ไม่ต้องรอศาลตัดสินอีก งานนี้จุกอกเจียนตายอยู่แล้ว!?