“เศรษฐา” ตัวช่วย “อุ๊งอิ๊ง”? 1 ใน 3 “แคนดิเดตนายกฯ”

“เศรษฐา” ตัวช่วย “อุ๊งอิ๊ง”? 1 ใน 3 “แคนดิเดตนายกฯ”

“ผมอยู่เพื่อไทยครับ” เป็นอันยุติการรอคอย และเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทแสนสิริ จำกัด(มหาชน) ในฐานะ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”ของ พรรคเพื่อไทย

หลังจากก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวมาตลอดว่า เขาคือ 1 ใน 3 ที่จะถูกเสนอชื่อเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” จนแฟนคลับเพื่อไทย และคอการเมืองตั้งตารอว่า เจ้าตัวจะออกมายอมรับหรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อวันที่18 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ Srettha Thavisin @Thavisin ของนายเศรษฐา โพสต์ภาพโปร์ไฟล์ พร้อมกับข้อความว่า

“6-8 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไป ผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก”

จากนั้นมีผู้กดไลก์และรีทวีตจำนวนมาก พร้อมข้อความแสดงความคิดเห็น หนึ่งในนั้นระบุว่า “ถ้าท่านมาอยู่เพื่อไทย ผมเลือกเพื่อไทยครับ” ขณะที่ นายเศรษฐา ตอบกลับว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”

ความจริง ไม่เพียงเท่านั้น สำนักข่าวที่มีความใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย ไล่ “ไทม์ไลน์” การเคลื่อนไหวของนายเศรษฐา ก็มีท่าทีให้เห็นอยู่บ้างว่า อาจยอมรับการส่งเทียบเชิญจากพรรคเพื่อไทย  

นับแต่ย้อนไปช่วงที่พรรคเพื่อไทยปรับโฉม เอาคำว่า “พรุ่งนี้เพื่อไทย” ซึ่งเป็นลายมือของ “ทักษิณ ชินวัตร” มาเป็น “สโลแกน” ขึ้นแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งปี 2566

ชื่อของ “เศรษฐา” เริ่มอยู่ในวงสนทนาการเมืองของ ส.ส.พรรค มาตั้งแต่ปี 2564

หลังจากในปี 2563 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในสภาพถูกม็อบล้อม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จนเกิดกระแส Call out และ “เศรษฐา” ก็ถูกโซเชียลมีเดียจัดให้เป็น ซีอีโอสาย Call out!!”

ต่อมา 16 ตุลาคม 2564 พรรคเพื่อไทย โหมโรงเปิดแคมเปญใหญ่และ ใหม่ ในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ที่จ.ขอนแก่น ภายใต้สโลแกน “พรุ่งนี้เพื่อไทย : เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” สั่งติดป้ายโฆษณาไว้ทั่ว จ.ขอนแก่น รวมถึงติดป้ายบนรถตุ๊กตุ๊ก วิ่งไปตามแลนด์มาร์กใจกลางกรุงเทพฯ

วันนั้น “เศรษฐา” แชร์ทวิตเตอร์ ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมทวิตข้อความเชียร์ว่า

“สโลแกนใหม่ก็ล้ำเหนือคู่แข่ง… รูปตัวอักษรทันสมัยโดนใจคนรุ่นใหม่ บ่งบอกถึงความเป็นไทย”

ต่อมา 19 ตุลาคม 2564 “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แกนนำกลุ่มแคร์ ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ ถึงโอกาส “เศรษฐา” จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยว่า

“ต้องเรียนว่า คนต้องการผู้นำคนใหม่ ที่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ถ้าเทียบกันหมัดต่อหมัดดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว ใครที่มีความสามารถ อย่างน้อยนายเศรษฐาก็เป็นผู้บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ย่อมมีทักษะการเป็นผู้นำ และจากการฟังการให้สัมภาษณ์ก็เป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ดี”

“ถามว่า ถ้าคุณเศรษฐาสนใจ ผมคิดว่าก็ดีนะ ก็สนับสนุน แต่คุณเศรษฐาจะสนใจหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง แต่การเมืองเป็นเรื่องลำบากมาก การเมืองไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจกันง่าย ๆ”

จากนั้น 28 ตุลาคม 2564 วันงานประชุมพรรคเพื่อไทยที่ขอนแก่น ได้สร้างเซอร์ไพรส์ เปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็น “แคนดิเดตนายกฯ เบอร์หนึ่ง” นั่งเป็นประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม

ชื่อของ “เศรษฐา” จึงเพลาๆลง สลับกับ “อุ๊งอิ๊ง” ที่สปอตไลต์ทางการเมืองฉายจับในฐานะแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 เพื่อไทย

ไฮไลท์สำคัญ 16 สิงหาคม 2565 ในรายแคร์ทอล์ก ของกลุ่มแคร์ ช่วงหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการถามว่า พรรคเพื่อไทย มี “แคนดิเดตนายกฯ” ในใจแล้วหรือยัง “ทักษิณ ชินวัตร” ในบท “โทนี่ วู้ดซัม” ระบุว่า น่าจะมีแล้วนะ

จากนั้น “ทักษิณ” โยนคำถามไปที่ นพ.สุรพงษ์ ว่าอยู่ใกล้ชิดกับพรรคพวกกว่า ใครจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ทำให้ “นพ.สุุรพงษ์” ต้องตอบว่า

“มีแพลมๆ มาบ้าง คนที่พูดถึงน่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ น่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ มีคนเดียว”

“พี่โทนี่” แทรกขึ้นมาว่า “ชาวบ้านน่าจะเดาได้”

นพ.สุรพงษ์บอกต่อว่า “พรรคเพื่อไทยน่าจะ 3 คนเป็นแคนดิเดต คนที่ 2 เริ่มแพลมๆ เป็นคนมีความรู้ ความสามารถ แก้วิกฤตที่เผชิญกันอยู่ เราอยากได้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหา คนเป็นนักบริหารที่ดูไว้ก็เห็นว่าเตรียมพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่การเมืองแล้ว ส่วนคนที่ 3 ยังเป็นปริศนาอยู่”

โทนี่-ทักษิณ พูดแทรกขึ้นมาว่า “บอกคนที่ 3 จะเอาผมแต่ตนถูก disqualified ไปแล้ว ไม่พอของเก่าเป็นนายกฯไปแล้ว 6 ปี”

อีก 2 เดือนต่อมา ตุลาคม 2565 ชื่อ “เศรษฐา” ก็ปรากฏบนข่าวอีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยจะดันชื่อ เป็นนายกฯ คู่กับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร

11 ตุลาคม 2565 น.ส.แพทองธาร ตอบคำถามนักข่าว กรณีที่นายเศรษฐาจะเข้ามาเป็นบัญชีแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 1 ส่วนแพทองธารอยู่อันดับ 2 ว่า ขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ได้เลือกหรือตัดสินใคร หรือแม้แต่รายชื่อที่สื่อเสนอออกไป พรรคก็ยังไม่ได้สรุป แต่ยืนยันว่าตนเองให้ความสนับสนุนทุกคนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะเข้ามาทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชนและขอให้ทุกคนเปิดรับ ไม่ใช่ตัดสินไปก่อนว่าเขาดีหรือไม่ดี ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว รายชื่อทั้งหมดพรรคเพื่อไทยต้องมาสรุปอีกครั้ง

อีกไม่กี่วันต่อมา แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยกระซิบ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จะมีการเปิดตัว “เศรษฐา” ในเดือนพฤศจิกายน

“อาจต้องเปิดตัวเร็ว เป็นไปได้ว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพราะคุณเศรษฐา แม้เป็นที่รู้จักของคนใน กทม. และคนชั้นกลาง แต่เวลาไปแนะนำที่ต่างจังหวัดอาจจะยังมีปัญหา เดินไปแนะนำชาวบ้านต่างจังหวัด ชาวบ้านไม่รู้จัก จึงต้องสร้างกระแส แต่ทั้งนี้ กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แต่การเปิดตัวก็ไม่ควรช้าเกินไป เพราะจะมีผลต่อการสร้างกระแสให้เป็นที่รู้จัก”

นั่นหมายถึง การรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทย “เศรษฐา” ขายคนเมือง ส่วน “อุ๊งอิ๊ง” ขายคนต่างจังหวัด-รากหญ้า

ซึ่ง “เศรษฐา” ก็ไม่ได้ปฏิเสธกระแสข่าวการเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย รวมถึงเรื่องการ “เปิดตัว” ในเดือนพฤศจิกายน

ระหว่างช่วงปลายเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนพฤศจิกายน มีเหตุการณ์การเมืองผ่านมามากมาย

หนึ่งในนั้นคือ ปมคว่ำกฎหมายสุราก้าวหน้า ของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กลางสภาผู้แทนราษฎร

3 พฤศจิกายน 2565 “เศรษฐา” ได้ตอบโต้ข้อความบนทวิตเตอร์กับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” อดีต ส.ส. พรรคก้าวไกล ซึ่งได้ทวีตแสดงความคิดเห็นว่า “สุราก้าวหน้า จะสำเร็จได้คงต้องให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล”

“เศรษฐา” ตอบกลับว่า “เพื่อไทยเป็น (เป็นรัฐบาล) ก็สำเร็จครับ” จากนั้นวิโรจน์ตอบกลับว่า “จับมือไว้แล้วไปด้วยกันครับพี่นิด”

เมื่อมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ทักว่า “คุณวิโรจน์พูดในนาม ก.ก.ได้ แล้วคุณเศรษฐาเอาอะไรมาพูดในนามเพื่อไทยคะ? สงสัยเฉย ๆ ค่ะ

“เศรษฐา” ตอบว่า “คุณอิ๊งฝากบอกมาครับ” ก่อนที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนั้นตอบกลับว่า “คิดว่าคุณเศรษฐาเปิดตัวทางการในเพื่อไทยแล้วค่ะ”

8 พฤศจิกายน 2565 จู่ๆ แพทองธาร บินไปเยียม “ทักษิณ” ที่ดูไบ ก็ประกาศข่าวดีกลางจอคลับเฮาส์ของกลุ่มแคร์ว่า กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 และเป็นหลานคนที่ 7 ของทักษิณ

ไม่นาน “เศรษฐา” ก็ทวิตข้อความ “นายกชาติอื่นก็เคยท้องและทำงานให้เห็นมาแล้ว”

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ได้รับแจ้งกำหนดการการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 และมีการ พูดกันต่อๆ ว่า วันนั้นจะมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย และจะมีการแสดงวิสัยทัศน์

14 พฤศจิกายน 2565 ใน youtube ของช่อง Voice Online ซึ่งเป็นกระบอกเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย ได้ลงคลิปรายการ “wake up ไทยแลนด์” คอนเฟิร์มข่าวเรื่องการแสดงวิสัยทัศน์ ของแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ทั้ง “อุ๊งอิ๊ง” และ “เศรษฐา”

โดยผู้ดำเนินรายการย้ำว่า จะมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ และแสดงวิสัยทัศน์ครั้งแรก ในเวลา 11.00 น

กระทั่งชอตสำคัญ 17 พฤศจิกายน 2565 เศรษฐา ทวีตข้อความผ่าน @Thavisin ซึ่งเป็นภาพตัวเองพร้อมระบุข้อความว่า “6-8 ปีที่ผ่านมาผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก”

พร้อมกับตอบคำถามผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งที่ถามว่า “ถ้าท่านมาอยู่เพื่อไทยผมเลือกเพื่อไทยครับ”

เศรษฐา ตอบกลับไปว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”

นอกจากนี้ สิ่งที่ยืนยันได้ว่า “เศรษฐา” คือ ตัวละครลับของพรรคเพื่อไทย มานานแล้ว ก็เพราะสายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับคนตระกูลชินวัตรนั่นเอง

โดยว่ากันว่า เขาเป็นคน สาย “บ้านแจ้งวัฒนะ” ใกล้ชิด “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นที่ทราบในวงการเมืองว่า มีความใกล้ชิดกับ “ยิ่งลักษณ์” รวมทั้งข่าวว่า “ทีมเพื่อไทย” เริ่มเข้าไปจัดการเรื่อง “งานพีอาร์-การวางตัว” ให้กับ “เศรษฐา” แล้ว

ยิ่งกว่านั้น การไปร่วมเวทีเสวนา Thairath Forum 2022 โดยพูดถึงเรื่องการเมือง ที่มองว่า “รัฐบาลใหม่” น่าจะผลักดันให้มี รธน. อันใหม่ ที่เป็นฉบับประชาชนอย่างแท้จริงโดยเร็ว การเลือกตั้งครั้งต่อไป ตนเชื่อว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย

ไม่เพียงทำให้เห็นว่า เขากล้าพูดกล้าวิจารณ์การเมือง เท่านั้น หากแต่ยังเห็นความพร้อมที่จะก้าวเดินไปยังเส้นทางการเมืองอย่างเชื่อมั่นแล้ว

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ภายในงาน Thairath Forum 2022 “แซน” ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานสาว “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” มาร่วมงานด้วย ซึ่ง “แซน-ชยิกา” เคยเป็นหนึ่งใน กก.บห.พรรคไทยรักษาชาติ ที่ถูกยุบและถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปี จึงหันมาทำการเมืองหลังม่านแทน และเป็นหนึ่งใน “แม่ทัพ” งานสื่อออนไลน์ให้กับ “อาปู-ยิ่งลักษณ์” นี่เอง ที่เชื่อกันว่า “ขุนพล” ที่จะมาร่วม “ทีมเศรษฐา” จะมาจากฟาก “ขั้วไทยรักษาชาติ” เดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นซีกของ “ยิ่งลักษณ์” นั่นเอง

นอกจากนี้ จุดโฟกัสที่น่าจับตามองอีกอย่างก็คือ “เศรษฐา” เปิดใจในงาน Thairath Forum 2022 ถึงการเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย มีเงื่อนไขอย่างไร? ซึ่ง “เศรษฐา” ก็ไม่ได้ปิดประตูหรือปฏิเสธ ว่า

“ส่วนตัวผมไม่เคยมีเงื่อนไขอะไรเลย แต่ต้องคำนึงถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ทุกวันนี้หลายคนเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะเรื่องปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ ผมว่าตรงนี้ถ้ารัฐบาลมีการจัดการที่ดีจะช่วยให้แก้ปัญหาของประชาชนได้ ส่วนเรื่องตัวบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ถือเป็นเรื่องรอง เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักการ ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน”

สำหรับ “เศรษฐา ทวีสิน” ตามประวัติที่สื่อหลายสำนักเริ่มให้ความสนใจ ชื่อเล่น “นิด” เกิด 15 กุมภาพันธ์ 2506 ปัจจุบันอายุ 59 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา

เริ่มทำงานปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย (จำกัด) ก่อนหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งผลประกอบการปี 2564 มีรายได้ถึง 29,747.52 ล้านบาท และกำไร 2,017.28 ล้านบาท

ด้านวิสัยทัศน์ เป็นที่ยอมรับกันว่า “เศรษฐา” เป็นผู้นำทางความคิดที่ขับเคลื่อนแนวคิดใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในแวดวงอสังหาฯ (Prop Tech) การผลักดันเรื่องความเท่าเทียมในสังคมและองค์กร จน “แสนสิริ” เป็นหนึ่งในองค์กรต้นแบบด้านความเท่าเทียม ไปจนถึงการตั้งเป้าให้แสนสิริเป็นองค์กร Net-zero ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์

ทั้งว่ากันว่า “เศรษฐา” แสดงความคิดเห็นเรื่องการบริหารบ้านเมือง,เศรษฐกิจ และสังคมได้อย่างเฉียบคม ใช้สื่อโซเชียลได้ทุกแขนง โดยเฉพาะทวิตเตอร์ สื่อสารกับคนรุ่นใหม่อย่างน่าฟัง สะท้อนถึงวิสัยทัศน์กว้างไกลและทันยุคทันสมัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่ที่คนไทยใฝ่ฝัน

เขาเชื่อว่าปี 2565 จะเป็นปีของการปรับตัวขนานใหญ่ เพื่ออยู่ให้ได้กับการเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤติโควิด เพราะสิ่งที่คนไทยต้องการมากที่สุดคือ ความหวัง, แรงบันดาลใจ และกำลังใจ คนแข็งแรงกว่าต้องช่วยกันส่งเสริมคนอ่อนแอกว่าให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน เจ้าสัวต่างๆ ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพราะยุคนี้ความเจริญรุ่งเรืองของคนไม่กี่กลุ่มไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ต้องเลิกคิดกินรวบและหาแนวทางดำเนินธุรกิจที่แบ่งปันความมั่งคั่งมากขึ้น เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่สดใสของประเทศ

จากวิสัยทัศน์และประสบการณ์ที่น่าสนใจของเศรษฐา จึงทำให้เขาเป็นที่สนใจของแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ได้หารือกันและมองเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยในยามที่ต้องได้รับการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ผ่านประสบการณ์และความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ และมีแนวคิดในเชิงสังคม เข้าใจปัญหาสังคมไทย

อย่างไรก็ตาม ในการกำหนดให้ วันที่ 28 พฤศจิกายนที่จะถึง มีการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่เพียงเพื่อเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หากแต่ยังต้องการปรับกลยุทธ์ทางการเมืองด้วย

โดยแหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์สนามเลือกตั้งว่า สนามเลือกตั้งภาคเหนือ เพื่อไทยการันตีชัยชนะ เพราะคู่แข่งจากพรรคต่างๆ ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพรรคเพื่อไทย เพราะไม่มีตัวที่แข็งพอมาสู้กับพรรคเพื่อไทย จะมีเพียงเหนือตอนล่าง ที่อาจจะเสียท่าในบางเขต

ภาคอีสาน เป็นที่หมายปองของหลายพรรค ขณะนี้ พรรคเพื่อไทย วางตัวผู้สมัครส.ส.เสร็จแล้ว 90% ส่วนบางเขตที่ยังไม่เคาะผู้สมัคร เพราะ 1.เขตเลือกตั้งบางเขตยังไม่ชัดเจน ยังรอ กกต.ประกาศเขตเลือกตั้ง 2.ยังรอความชัดเจน ส.ส.เดิมจะย้ายพรรคสลับขั้วหรือไม่ แต่ก็วางคนใหม่ไว้เสียบแทนที่แล้ว

ทว่า ขณะนี้ ส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทย กำลังจับตา “พลังกัญชา” ของพรรคภูมิใจไทย ที่ตีตื้นพรรคเพื่อไทยขึ้นมาอย่างน่ากลัวในหลายเขต ไม่ว่าอีสานตอนเหนือ ตอนกลาง และอีสานใต้

ตัวอย่างเช่น จังหวัดที่สู้กันอย่างดุเดือด คือ จ.อุบลราชธานี 11 เขต ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคสร้างอนาคตไทย ที่ประกาศตัวผู้สมัครไว้แล้ว ไม่นับภูมิใจไทยที่ปักหมุดก่อนใครเพื่อน อาจต้องชิงเก้าอี้กันอย่างฝุ่นตลบ

มีเพียงพรรคพลังประชารัฐ ที่ยังไม่แสดงตัว หลังแกนนำอย่าง “สุพล ฟองงาม” ย้ายไปพรรคสร้างอนาคตไทย

กระนั้น แม้ดูเหมือนพรรคเพื่อไทย จะได้เปรียบในเชิงพื้นที่ ทั้งเหนือ-อีสาน เพราะมี ส.ส.มากที่สุด บวกกระแสความนิยมรัฐบาลปัจจุบันที่ดิ่งเหว แต่พรรคเพื่อไทย กลับเสียเปรียบเชิงอำนาจการเมือง

“ขณะนี้มีการส่งสัญญาณให้พรรคฝ่ายรัฐบาลเดินหน้าหาเสียงได้เต็มที่ เพราะจะยุบสภาเอาเดือนสุดท้ายก่อนครบวาระ ตอนนี้พรรคขั้วรัฐบาลจะหาเสียงอย่างไรทำได้เลย ไม่ต้องกังวลกฎเหล็ก 180 วันก่อนเลือกตั้ง เพราะระเบียบ กกต.ไม่ได้ห้ามคนเป็นรัฐมนตรีลงพื้นที่”

“ต่างจากพรรคเพื่อไทย ที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะเป็นฝ่ายค้าน จะช่วยเหลือชาวบ้านเรื่องน้ำท่วมก็ยังทำไม่ได้” แหล่งข่าว เปิดเผย

ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จึงเตรียมปรับกลยุทธ์เพื่อเดินหน้าเข้าสู่เกมเลือกตั้ง

โดยจะใช้โอกาสประชุมใหญ่วิสามัญพรรค เพื่อปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ใหม่ โดยจะถอด กก.บห.ที่เป็น ส.ส.ออก เว้นเฉพาะตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค

ปัจจุบัน กรรมการบริหารพรรคที่เป็น ส.ส. อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรค นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค นายสรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ รองเลขาธิการพรรค นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการพรรค นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค นางสาวจิราพร สินธุไพร

เหตุที่ถอด ส.ส.ออกจากกรรมการบริหารพรรค เพราะหาก “พลาดท่า” ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งขึ้นมา อาจถูกยุบพรรคได้ ดังนั้น จึงตัดไฟแต่ต้นลม

ที่สำคัญ ในวันนั้น ต้องบันทึกเอาไว้ในปฏิทินการเมืองว่า “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย จะเปิดตัวบนเวที เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองเป็นครั้งแรก นี่คือ รายงานข่าวจากสื่อที่มีความใกล้ชิดพรรคเพื่อไทย

ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ก็คือ ใครจะเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย “เศรษฐา” หรือ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร?

ถ้าจับกระแสจากสื่อที่มีความใกล้ชิดพรรคเพื่อไทยแพลมออกมา ไม่ว่าจาก “ไทม์ไลน์” ช่วงที่ “นพ.สุุรพงษ์” ตอบคำถามเรื่องนี้

“มีแพลมๆ มาบ้าง คนที่พูดถึงน่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ น่าจะเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ มีคนเดียว”

“พี่โทนี่” แทรกขึ้นมาว่า “ชาวบ้านน่าจะเดาได้”

นพ.สุรพงษ์ บอกต่อว่า “พรรคเพื่อไทยน่าจะ 3 คนเป็นแคนดิเดต คนที่ 2 เริ่มแพลมๆ เป็นคนมีความรู้ ความสามารถ แก้วิกฤตที่เผชิญกันอยู่ เราอยากได้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหา คนเป็นนักบริหารที่ดูไว้ก็เห็นว่า เตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การเมืองแล้ว ส่วนคนที่ 3 ยังเป็นปริศนาอยู่”

หรือ ที่ “เศรษฐา” บอกว่า เรื่องสำคัญคือ ปัญหาบ้านเมือง ปากท้องประชาชน เรื่องใครจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องรอง

และ ที่ “เศรษฐา” ทวิตข้อความ กรณี “อุ๊งอิ๊ง” ท้อง ว่า “นายกชาติอื่นก็เคยท้องและทำงานให้เห็นมาแล้ว”

เท่ากับเป็นการ “บอกใบ้” หรือไม่ว่า “เบอร์ 1” เป็นใคร แม้ว่า“เศรษฐา” ก็คือ 1 ใน 3 แคนดิเดตนากรัฐมนตรี

แน่นอน, ถ้าจะว่าไปแล้ว การตอบรับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ในฐานะ “บุตรสาว”ทักษิณ ชินวัตร ก็ถือว่า สร้างปรากฏการณ์ได้เหมือนกัน อย่าง กรณีเลือกตั้งนายก อบจ. ที่พรรคเพื่อไทย ชนะอย่าง “ถล่มทลาย” หรือ แลนด์สไลด์ ที่จ.กาฬสินธุ์ และจ.ร้อยเอ็ด และการหาเสียงในภาคเหนือและภาคอีสาน ก็เป็นที่ฮือฮาได้ไม่น้อย

เพียงแต่ด้วยประสบการณ์ทางการเมือง ประสบการณ์ในการบริหารที่ประสบความสำเร็จ ถือว่า ยังถูกตั้งคำถาม

ด้วยเหตุนี้ “ทักษิณ” และ พรรคเพื่อไทย จึงต้องหา “ตัวช่วย” ที่เป็นคู่บุญคู่บารมี อย่าง “เศรษฐา” มาประกบ หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอยู่ไม่น้อย

อีกอย่าง ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในสมัยหน้า แม้ว่า “เศรษฐา” จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากเป็นเบอร์ 2 (ซึ่งเจ้าตัวถือเป็น “เรื่องรอง”) โอกาสที่จะมีตำแหน่งสำคัญในการกุมบังเหียน “เศรษฐกิจ” ก็มีความเป็นไปได้สูง

ส่วน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร การได้ “เศรษฐา” มาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ด้วย ก็เท่ากับ เป็น “ตัวช่วย” ชั้นดี ในการ “อุดช่องว่าง” ด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ดูเหมือน “ใหญ่เกินตัว” ในวัยที่ยังผ่านร้อนผ่านหนาวไม่มาก ยิ่ง “เศรษฐา” ไม่มีเงื่อนไข ก็ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยง่ายที่จะตัดสินใจ

เหนืออื่นใด อย่าลืมว่า ฐานเสียง “คนรากหญ้า” ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ต่างขานรับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ในฐานะ “ทายาท” ทักษิณ อย่างท่วมท้น แทบไม่ต้องคิดถึงประสบการณ์การเมือง หรือ การบริหารประสบความสำเร็จแต่อย่างใดด้วย

ด้วยเหตุนี้ “เกม” ของ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย จึงอาจวางแผนที่จะ “ขายเศรษฐา” กับคนชั้นกลางในเมือง และฐานเสียงนักธุรกิจ ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร คือ ตัวจริง เสียงจริง ในการสร้างความมั่นใจให้กับ “คนรากหญ้า” ซึ่งส.ส.พรรคเพื่อไทย น่าจะสะท้อนให้ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยได้รับรู้หมดแล้ว

นี่คือ จังหวะก้าวเดินเกมของ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ที่เข้าใกล้ “แลนด์สไลด์” เข้าไปอีกก้าว เว้นเสียแต่จะมี “จุดพลิกผัน” ที่ไม่อาจคาดคิด เกิดขึ้น จนทำให้มีการปรับ “กลยุทธ์” อีกครั้ง ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน