หยุด “ป-ตู่” เหลือ “ป-ป้อม” สานฝัน "รัฐบาลสมานฉันท์"

หยุด “ป-ตู่” เหลือ “ป-ป้อม” สานฝัน "รัฐบาลสมานฉันท์"

กระแสไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) และ รมว.กลาโหม บวกกับกระแส “บิ๊กตู่” อยู่ครบ 8 ปีแล้ว ทำให้อนาคต “บิ๊กตู่” หลังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะครบ 8 ปีหรือไม่ ก็แทบไม่ต่างกัน? คือ มันจบแล้วนาย

กระแสไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่) และรมว.กลาโหม บวกกับกระแส “บิ๊กตู่” อยู่ครบ 8 ปีแล้ว ทำให้อนาคต “บิ๊กตู่” หลังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะครบ 8 ปีหรือไม่ ก็แทบไม่ต่างกัน? คือ มันจบแล้วนาย

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะจบตามไปด้วย แม้ว่า จะเคยประกาศ “3 ป” ไปไหนไปด้วยกัน “ประยุทธ์ไป ผมก็ไป” แต่คำพูดวันนั้นกับคำอธิบายในวันนี้ อาจคนละเรื่องเดียวกัน อย่าลืมว่า “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เป็นพรรคการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย แต่ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯที่มาจาก หัวหน้า คสช. และถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถ้าไม่มีตำแหน่งในพรรคการเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่ว่าจะไปต่อ หรือ พอแค่นี้ โอกาสที่ “บิ๊กตู่” จะกลับมาเป็นนายกฯอีกสมัยหลังเลือกตั้งครั้งหน้า ถือว่า เป็นเรื่องยาก เพราะคงไม่กล้าฝืนกระแสความนิยมและความต้องการให้ “พอแล้ว” ของประชาชน

กระนั้น การไปต่อของ “บิ๊กป้อม” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังมีกระแส “ต่อต้าน” จากหลายฝ่าย เพียงแต่ “ผลประโยชน์ทางการเมือง” ที่ต้องการห้อยโหน “บารมี” ของ “บิ๊กป้อม” ทำให้ต้องทนฝืนสังขาร ยอมเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้นักการเมืองบางส่วนได้พึ่งพาอาศัย ทั้งยังเป็นส่วนมากในรัฐสภาด้วย

กลับมาที่ “บิ๊กตู่” ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ทางเลือกเหลือน้อยลงทุกที เพราะกระแสอยู่เกิน 8 ปี ถือว่ามากเกินไป ควรเปิดทางให้ผู้นำคนใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ วิสัยทัศน์กว้างไกล ทันยุคทันสมัย และโดดเด่นในเวทีการเมืองโลกมากกว่า เข้ามาเป็น “ผู้นำ” แทน แม้ว่าจริงอยู่นี่คือ ความฝันสำหรับการเมืองไทย แต่ก็เป็นเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” จะต้องรับฟัง

ดังนั้น ไม่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า อยู่ยังไม่ครบ 8 ปี ก็ไม่มีความหมายที่จะไปต่อ เพราะประชาชนไม่ให้โอกาสอีกแล้ว อย่างดีก็แค่อยู่จนครบเทอม หรือไม่ก็ “ยุบสภา” หลังประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2022 ระหว่างวันที่18-19 พฤศจิกายน 2565 ตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งทั้งสองทางเลือก ถือว่า เป็นการลงจากอำนาจที่ยังพอดูมีสง่าอยู่บ้าง แต่ถ้าขืนเปลืองตัวลงเล่นการเมืองกับเขาอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า(กรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ครบ 8 ปี) รับรองได้ว่า จบไม่สวยแน่!?

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลองมาดูปฏิทินไปต่อของ “บิ๊กตู่” ว่าการเมืองที่เหลือมีอะไรบ้าง

เริ่มจาก  1 พฤศจิกายน 2565 เปิดสมัยประชุมรัฐสภาที่ 2/2565

18-19 พฤศจิกายน 2565 ประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค 2022

 28 กุมภาพันธ์ 2566 ปิดสมัยประชุมรัฐสภาที่ 2/2565

24 มีนาคม 2566 สภาฯ ครบวาระ 4 ปี

ถ้าครบวาระ เลือกตั้งใน 45 วัน (ต้องเป็นสมาชิกพรรค 90 วัน)

ถ้ายุบสภาก่อน เลือกตั้งใน 45-60 วัน (ต้องเป็นสมาชิกพรรค 30 วัน)

นี่คือ สิ่งที่ต้องจับตามองว่า “บิ๊กตู่” จะต้องปิดเทอมยาว ตั้งแต่หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือ มีโอกาสได้ไปต่อ และพอแค่ไหน ยุบสภา หรือ ครบเทอม?

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ปฏิทินการเมือง อาจเริ่มจากจะไปพร้อมกับ “บิ๊กตู่” ตามคำพูดที่ว่า “นายกฯไป ผมก็ไป” หรือไม่? ซึ่งการลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้า “บิ๊กป้อม” จะตัดสินใจ และไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนักการเมือง และส.ส.บางส่วนยังคงสนับสนุน(ความจริง “บิ๊กตู่” ก็ไม่ต่างกัน)

นี่คือ “ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง” ที่ส.ส. นักการเมืองไทย ไม่เคยสลัดพ้น จนนำมาสู่ความพิกลพิการของระบอบประชาธิปไตยไทย ที่ยากจะโทษใครเช่นเดียวกัน  

นั่นนำมาซึ่งความท้าทายต่อตำแหน่ง “ผู้นำ” ทางการเมืองด้วย

อย่าลืมวลี “ใจบันดาลแรง” ของ “บิ๊กป้อม” หลังขึ้นมารับตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการชิมลางในช่วงที่ “บิ๊กตู่” ถูกศาลฯสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ เกิดความกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันควันในการแบกรับตำแหน่ง ราวกับว่า เป็นคนละคนกับ “บิ๊กป้อม” คนเดิม ทำให้เห็นได้ชัดว่า “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” มีผลต่อใจ “บิ๊กป้อม” แค่ไหน

ดังนั้น จึงน่าจับตามอง สองเส้นทางนับจากนี้ของ “บิ๊กป้อม”

เส้นทางแรก อาจเริ่มจากหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “บิ๊กตู่” อยู่ครบ 8 ปีแล้ว ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง

พบว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคที่มีผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ส. มากกว่า 25 คน มีดังนี้ 

พรรคพลังประชารัฐ: พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคเพื่อไทย: สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์, ชัยเกษม นิติสิริ พรรคอนาคตใหม่: ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคภูมิใจไทย: อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคประชาธิปัตย์: อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แต่ปัจจุบัน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกยุบพรรค ตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ที่ยังเหลืออยู่คือ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ออกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย, ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่า กทม. ,ชัยเกษม นิติสิริ, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากส.ส. และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

ที่เหลือเต็งหนึ่งคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ฝ่ายประชาธิปไตยมองว่า เหมาะสมที่สุด ตามครรลองประชาธิปไตย เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะเข้าทางเกมแห่งอำนาจ

ขณะเดียวกัน บทบัญญัติเกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ใช้เสียงของรัฐสภา คือ ส.ส. และ ส.ว. ร่วมเลือกนายกฯ ในช่วง 5 ปีแรก ซึ่งต้องได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา

ประเด็นก็คือ ถ้าส.ส., ส.ว.เห็นตรงกัน เลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของรัฐสภา ทุกอย่างก็จบ และดูเหมือนจะเป็นไปตามกระแสความต้องการของประชาชนด้วย

นี่ยังไม่นับว่า นายอนุทิน เป็นคนที่มีความสามารถเพียบพร้อมเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แต่ถือว่า ดีที่สุดในเวลานี้

กระนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการแข่งขันทางการเมือง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อใกล้เลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปีหน้า พรรคการเมืองที่กุมอำนาจรัฐเอาไว้ ถือว่าได้เปรียบ ซึ่งพรรคภูมิใจไทย เป็นคู่แข่งสำคัญกับพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งในรัฐบาลด้วยกัน และพรรคฝ่ายค้าน จึงยากที่จะทำให้ส.ส.ในสภาฯ โหวตให้เป็นนายกฯ?

นอกจากนี้ การร่วมโหวตเลือกนายกฯของ ส.ว. จำนวน 250 คน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ส.ว.ทั้งหมด แต่งตั้งมาจากอำนาจ คสช. จึงไม่แน่ว่า จะเทคะแนนเสียงให้หรือไม่ หรือมากน้อยแค่ไหน

นี่เอง ทำให้กระแส “นายกฯคนนอก” มาแรง แทบจะมองข้ามช็อต “นายกฯ” ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองด้วยซ้ำ

โดยมาตรา 272 ระบุเพิ่มเอาไว้ว่า “หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88  ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจํานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88”

เพื่อเลือกนายกฯคนนอก โดยขั้นตอนจะเป็นดังนี้ 

 1. ส.ส. และ ส.ว. ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 376 คน เข้าชื่อเพื่อขอให้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีของแต่ละพรรคการเมืองได้

 2. ส.ส. และ ส.ว. ประชุมร่วมกัน และลงมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา หรือ 500 คน เพื่ออนุมัติการเสนอชื่อนายกฯ นอกบัญชีของพรรคการเมือง

 3. ส.ส. และ ส.ว. มากกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภาลงมติเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งนายกฯ

 ถามว่า คนที่มีบารมีทางการเมืองมากพอที่จะพลิกสถานการณ์จากการเลือกนายกฯจากบัญชีรายชื่อมาเป็นนายกฯคนนอกได้ คือใคร และใครที่สามารถรวมคะแนนเสียงในรัฐสภาขณะนี้ ผ่านทุกขั้นตอนของการนำไปสู่การเลือกนายกฯคนนอกได้ ถ้าไม่ใช่ “บิ๊กป้อม”?

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เครือข่ายของ “บิ๊กป้อม” จากลูกชายคนโตของ พล.ต.ประเสริฐ วงษ์สุวรรณ และนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชาย 4 คน คือพล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ (ตำแหน่งปัจจุบัน), พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (ตำแหน่งปัจจุบัน), พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมทีโอที และ พันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ

เส้นทางทหาร เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือที่รู้จักกันในนาม “ทหารเสือราชินี”

และเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับนายทหารอดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)ถึงสองคน คือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ “บิ๊กตู่” พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่ง “พี่น้อง 3 ป.” มีสายสัมพันธ์แนบแน่นทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องหน้าที่การงาน

ส่วนเส้นทางรับราชการตำแหน่งสูงสุด คือ ผู้บัญชาการทหารบก ระหว่างวันที่ 1 เดือนตุลาคม 2547 ถึง 30 กันยายน 2548 สมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร”

หลังเกษียณอายุราชการ ได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ช่วงเดือนตุลาคม 2549 - 22 ธันวาคม 2550 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2551 และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ประจำกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 98/2552

กระทั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น และมีการจัดตั้งรัฐบาล คสช.

“บิ๊กป้อม” ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และยังเป็นประธานคณะกรรมการอีกกว่า 50 คณะ ก่อนจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) หลายครั้ง และ “บิ๊กป้อม” ยังคงดำรงตำแหน่งรองนายกฯ คนที่หนึ่ง จนเป็น “รักษาการนายกรัฐมนตรี” อยู่ในปัจจุบัน

ที่สำคัญ ว่ากันว่า ความแตกต่างระหว่าง “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กตู่” ก็คือ ความเป็น “นายทหารการเมือง” ของ “บิ๊กป้อม” มีมากกว่า “บิ๊กตู่” และการเข้ามามีบทบาทอย่างสูงของ “บิ๊กป้อม” ในยุครัฐบาล คสช. ก็เพราะ “บิ๊กตู่” ต้องการ “คอนเน็กชั่น” ทางการเมืองจาก “บิ๊กป้อม” ในการประสานงานทางการเมือง และดูแลส.ส.ในสภาฯนั่นเอง  

ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่ เส้นทางที่สอง ของ “บิ๊กป้อม” นั่นคือ การขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐต่อไป ในฐานะหัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หลังจาก “บิ๊กตู่” ลงจากอำนาจ ไม่ว่าจะด้วยผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือ การตัดสินใจยุบสภา

มาถึงตรงนี้ “ดีลพิเศษ” ก็ยังไม่อาจขีดฆ่าออกไปจากความทรงจำของผู้คนได้เช่นกัน เพราะการออกมาปฏิเสธ ของ “ทักษิณ” ว่าไม่เคยคุยกับ “บิ๊กป้อม” ในขณะที่ผลของเกมการเมืองเกิดขึ้นตามกระแสข่าวลือ หมายความว่าอย่างไร?

ที่สำเร็จไปแล้วขั้นที่หนึ่งก็คือ การกลับมาใช้สูตรส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” หาร 100 ซึ่งเข้าทางพรรคเพื่อไทย ที่จะมีโอกาสได้รับเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” หรือ “ถล่มทลาย” มากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการแก้กลับมาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเรียบร้อย

นั่นเท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยจะได้ทั้งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และส.ส.เขตรวมกัน จากเดิมที่ถ้าใช้สูตรหาร 500 มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลย  

ประเด็นคือ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพรรคเดียวไม่อาจทำให้ “สภาล่ม” ได้ ถ้าไม่มีส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐหนีประชุม จนทำให้ไม่ครบองค์ประชุม เพราะอะไร นี่คือ คำถามที่หลายคน “งง” เป็นไก่ตาแตก ทำไมพรรคพลังประชารัฐจึงคุมเสียงส.ส.ไม่ได้?

คำตอบ จึงมาอยู่ที่ การยกเว้นใช้นายกฯจากบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองที่ต้องใช้เสียงส.ส.จำนวนมากบวกกับส.ว. ทำให้เสียงส.ส.พรรคเพื่อไทยมีความหมายต่อการ “ดีล” รวมถึงการโหวตเลือกนายกฯคนนอกด้วย

ยิ่งกว่านั้น นักวิเคราะห์การเมือง ยังมองข้ามช็อตไปถึงโอกาสที่จะเกิด “รัฐบาลสมานฉันท์” หรือ “รัฐบาลปรองดองแห่งชาติ” ขึ้นในอนาคตด้วย

เพราะกระแสต่อต้าน คสช.และรัฐบาลเผด็จการ จะพุ่งสูงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ขณะเดียวกัน กระแสปกป้องสถาบันฯ ก็จะพุ่งสูงเป็นเงาตามตัว ท่ามกลางทางออกของเรื่องนี้ ไม่อาจ “สวิง” ไปทางใดทางหนึ่งได้ เพราะถือว่า อันตรายต่ออนาคตทางการเมือง

ดังนั้น โอกาสที่จะได้เห็น “ดีล” สุดเซอร์ไพรส์หรือไม่ ระหว่างการร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทย เกิดขึ้น ก็ไม่แน่เหมือนกัน

นั่นหมายถึง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อาจเป็นของพรรคการเมืองที่เป็น “แกนนำ” จัดตั้งรัฐบาล หรือ มีส.ส.มากที่สุด และรัฐมนตรีด้านความมั่นคง อย่าง กระทรวงกลาโหม อาจเป็นของพรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล และเป็นฝ่ายอำนาจเก่า ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์พลิกผันก็มีไม่น้อยเช่นกัน นับแต่ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะออกมาอย่างไร พรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุดหรือไม่ หรือพรรคที่ได้ส.ส.มากที่สุด อาจสูสีคู่คี่กับพรรคลำดับรองลงมา

เพราะอย่าลืมว่า ยังขึ้นอยู่กับ “กลุ่มพรรคทางเลือกที่สาม” อย่าง ไทยสร้างไทย ของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, สร้างอนาคตไทย ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และชาติพัฒนา ที่มี กรณ์ จาติกวณิช เป็นจุดขาย ฯลฯ ซึ่งประกาศ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” จะปลุกกระแสความสนใจได้ร้อนแรงแค่ไหนในช่วงเลือกตั้ง

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ดูเหมือนเส้นทางการเมืองของ “บิ๊กป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถูกขีดเอาไว้แล้ว ให้เดินหน้าต่อ เพราะมีบริวารว่านเครือทางการเมือง หวังพึ่งบุญยาบารมีมากมาย

หรือว่าวลี “นายกฯไป ผมก็ไป” เพื่อหยุดอำนาจเผด็จการ คสช.? จะเป็นจริง ก็ต้องดู “แรงบีบ”จากฝ่าย “ไม่เอาบิ๊กป้อม” ด้วยเช่นกัน ว่ามีพลังกดดันมากน้อยแค่ไหน

รวมถึงถ้าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า “บิ๊กป้อม” เป็นแค่ รองนายกฯควบ รมว.กลาโหม หรือ รมว.กลาโหม ให้กับ “หลานอุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย กระแสต่อต้าน ก็อาจไม่แรงเหมือน นั่ง “นายกรัฐมนตรี” จริงหรือไม่ ต้องติดตาม