เศรษฐกิจไทยยัง ‘อ่วม’ สัญญาณร้ายส่งต่อปี 69

ปลายปี 2568 ตัวเลขเศรษฐกิจไทยกำลังส่งสัญญาณที่น่ากังวลมากกว่าน่าดีใจ แม้ภาพส่งออกจะดูสวยหรู เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 และขยายตัวกว่า 12% ในช่วง 11 เดือนแรกของปี
แต่เมื่อหันกลับมามอง “ภาคการผลิตจริง” กลับเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เมื่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน พ.ย.ลดลงถึง 4.24% เหลือเพียงระดับ 90.54 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่แค่ 55.49% ต่ำกว่าศักยภาพอย่างมาก ตัวเลขชุดนี้ไม่ใช่แค่ความผันผวนระยะสั้น แต่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมและไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง
ปัจจัยลบที่ถาโถมตลอดปี ตั้งแต่หยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ เงินบาทแข็งค่ากดดันความสามารถแข่งขัน อุทกภัยภาคใต้ ไปจนถึงกำลังซื้อในประเทศที่ทรุดหนัก ล้วนเป็น “วิกฤติซ้ำซ้อน” ฉุดให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถขยับขึ้นได้อย่างมั่นคง แม้มาตรการกระตุ้นจากรัฐ จะช่วยพยุงบางภาคส่วน แต่เป็นเพียงประคองระยะสั้น ไม่อาจชดเชยการหดตัวของการลงทุนภาคเอกชนและความเปราะบางภาคอุตสาหกรรมหลักได้อย่างแท้จริง
ความย้อนแย้งที่ส่งออกโต แต่ภาคการผลิตไม่โต ชี้ให้เห็นปัญหาที่ลึกกว่านั้น คือ โครงสร้างการค้าของไทยที่พึ่งพาการเป็น “ทางผ่าน” มากกว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ตัวเลขนำเข้าที่ขยายตัวใกล้เคียงหรือสูงกว่าการส่งออก สะท้อนภาวะ Import Flooding และการนำเข้าเพื่อส่งออกต่อ มากกว่าการเดินเครื่องโรงงานในประเทศเต็มกำลัง เมื่อกำลังการผลิตไม่กระเตื้อง การจ้างงาน รายได้ และความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจย่อมไม่ฟื้นตามไปด้วย
อีกไม่กี่ชั่วโมง จะก้าวสู่ปี 2569 ซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ไม่ได้ลดลงเลย แต่กลับมีแนวโน้ม “ซับซ้อนและหนักขึ้น” ท่ามกลางบริบท “การเมือง” ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งทั่วไป ความไม่แน่นอนด้านนโยบายอาจกลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมความเชื่อมั่นของนักลงทุน หากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังติดอยู่กับมาตรการระยะสั้น ขาดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ปัญหาที่ซ่อนอยู่ตลอดปี 2568 อาจปะทุชัดเจนขึ้นในปีหน้า ทั้งภาระหนี้ครัวเรือน การลงทุนที่หดตัว และความสามารถแข่งขันที่ถดถอย
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียง “เศรษฐกิจจะโตได้กี่เปอร์เซ็นต์” แต่คือ ไทยจะรับมือกับความเปราะบางเชิงโครงสร้างอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกล้าปรับแผน ปรับยุทธศาสตร์ จากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การสร้างฐานการผลิตใหม่ที่เชื่อมโยงกับห่วงโซ่โลกอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน นักธุรกิจและประชาชนที่ต้อง “หาเช้ากินค่ำ” ก็จำเป็นต้องได้รับสัญญาณที่ชัดเจน ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังมุ่งไปทางไหน ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเลขสวยด้านหนึ่ง กลบความอ่อนแรงอีกด้านหนึ่ง
ดังนั้นปีหน้าอาจไม่ใช่แค่ปีแห่งความเสี่ยง แต่เป็นปีที่ตัดสินว่าเศรษฐกิจไทยจะ “ตั้งหลักได้” หรือ “ติดกับดักเดิม" ที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์







