2568 ปีแห่งความท้าทายภาพลักษณ์ไทยสั่นคลอน

ปี 2568 ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่กี่วันนี้ถือเป็นปีที่ยากสำหรับประเทศไทยในหลายๆ เรื่อง รวมถึงการท่องเที่ยว ชนวนเหตุมาจากนักท่องเที่ยวจีนที่เคยสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งลดลงตั้งแต่ต้นปีจากกรณี “ซิงซิง” นักแสดงชาวจีนหายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อต้นปี
ส่งผลกระทบระยะยาว นักท่องเที่ยวจีนหายไปหลายล้านคน ล่วงเข้ากลางปี เดือน พ.ค. และ ก.ค. มีข่าวเหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา แม้จำกัดวงแค่ชายแดนห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ก็ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกของชาวต่างชาติบ้าง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกก็มีผล เช่น เศรษฐกิจจีนไม่ดี และจีนเองก็มีนโยบายส่งเสริมให้คนท่องเที่ยวในประเทศ กระนั้นปัจจัยบวกก็ยังมีอยู่ในช่วงปลายปี หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเดือน พ.ย. ทำให้เกิดเสียงชื่นชมอย่างมากจากชาวจีนบนโลกโซเชียลมีเดีย ส่งผลบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย ประกอบกับจีนและญี่ปุ่นมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน รัฐบาลปักกิ่งไม่สนับสนุนให้พลเมืองไปเที่ยวญี่ปุ่น จึงเกิดความหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาเมืองไทยกันมากขึ้น
แต่เหมือนวิบากกรรมยังไม่หมดช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าสร้างความท้าทายแก่การแข่งขันด้านราคาในช่วงไฮซีซันปลายปี 2568 ไปจนถึงตลอดปี 2569 สินค้าท่องเที่ยว และบริการของไทยแพงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ เทียบคู่แข่งในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม อาจทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไปเที่ยวประเทศอื่นที่มีค่าใช้จ่ายถูกก่อน อีกทั้งความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้นานกว่ารอบก่อน นับถึงวันนี้เกินสองสัปดาห์แล้ว ทั้งสองฝ่ายสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งชื่อเสียงที่ถือเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” สร้างยากทำลายง่าย
นานาชาติเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิงโดยเร็ว แก่ปัญหาข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและการทูต ล่าสุดมีเรื่องที่ไม่คาดคิดมาซ้ำเติม เมื่อกระทรวงการต่างประเทศอินเดียออกแถลงการณ์แสดงความกังวลเรื่องการทำลายรูปปั้นเทพฮินดูบริเวณชายแดนว่า เป็นการ “ไม่เคารพ” ทำร้ายความรู้สึกต่อผู้ศรัทธาทั่วโลก แถลงการณ์ที่ออกมามีเพียงสั้นๆ เข้าใจได้ว่าประเทศอื่นไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งของสองประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ไทยต้องตระหนักคือภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก เพราะแม้แต่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังโอดครวญว่าไม่มีประเทศใดเข้าข้างไทย จึงเป็นหน้าที่ที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูลต้องคิดทบทวน ความแข็งกร้าวที่แสดงออกไปทำให้ไทยเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายกันแน่ เพราะสองบทบาทนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ไทยแตกต่างกัน







