อย่าปล่อยให้เงินบาทซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย

อย่าปล่อยให้เงินบาทซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย

สถานการณ์ “เงินบาท” ปัจจุบันอยู่ในสถานะที่ “น่าห่วงยิ่ง” เพราะนอกจากจะสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังอาจเป็นภัยคุกคามเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าด้วย

    ก่อนหน้านี้ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พูดชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยไม่อาจรับมือกับเงินบาทที่แข็งค่าได้ ยิ่งเวลานี้เครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาจาก “ภาคส่งออก” และ “การท่องเที่ยว” ล้วนเป็นเครื่องยนต์ที่ต้องอาศัยค่าเงินบาทในการขับเคลื่อน
    การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ ดูเหมือนว่า “ธุรกรรมซื้อขายทองคำ” ตกเป็นเป้ากล่าวหาหลักว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากปริมาณซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 80% และส่วนใหญ่ยังเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นโดยไม่มีการส่งมอบทองจริง เมื่อราคาทองพุ่งสูงขึ้น ผู้ค้าทองจะขายเงินดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินบาทในปริมาณมหาศาล ซึ่งในบางช่วงมีมูลค่าสูงถึง 40-50% ของปริมาณการขายดอลลาร์สุทธิทั้งประเทศ แรงกดดันนี้ส่งผลโดยตรงต่อ ขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก ทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้น และซ้ำเติมภาคการท่องเที่ยวที่ต้องเผชิญกับสภาวะ “เมืองไทยแพงเกินไป” สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

    ทางการไทยพยายามงัดมาตรการหลายด้านมาดูแล โดยกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาเก็บ “ภาษีธุรกิจเฉพาะ” สำหรับการเทรดทองออนไลน์เพื่อเพิ่มแรงเสียดทานและชะลอการเก็งกำไร ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าแทรกแซงตลาดจนทำให้ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศพุ่งสูงทะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำในทุนสำรองเป็น 12% นอกจากนี้ ธปท. ยังผลักดันให้มีการซื้อขายทองคำในสกุลดอลลาร์มากขึ้นเพื่อลดความเชื่อมโยงโดยตรงกับค่าเงินบาท

    อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของตลาดต่อมาตรการเหล่านี้กลับค่อนข้างเย็นชา โดยมองว่ามาตรการที่ประกาศออกมายัง “ไม่มีนัย” ที่ส่งผลกระทบอย่างรวดเร็วหรือชัดเจน แม้ในช่วงที่มีข่าวการแถลงของ ธปท. ค่าเงินบาทจะมีการสวิงตัวชั่วคราวแต่สุดท้ายก็กลับมาแข็งค่าที่ระดับเดิม เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่ามาตรการภาษีหรือการเพิ่มความเข้มงวดในการรายงานข้อมูลอาจใช้เวลานานในการบังคับใช้ และไม่อาจหยุดยั้งกระแสการเก็งกำไรได้ตราบใดที่ราคาทองคำในตลาดโลกยังคงเป็นขาขึ้น
    ความท้าทายในระยะข้างหน้าของรัฐบาลและ ธปท. คือการรักษาสมดุลไม่ให้บาทแข็งค่าจนทำลายเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้ถูกสหรัฐ เพ่งเล็งว่าเป็น "ประเทศบิดเบือนค่าเงิน" ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการตอบโต้ทางการค้า แม้จะมีการคาดการณ์ทางเทคนิคว่าเงินบาทอาจเริ่มกลับมาอ่อนค่าได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2569 แต่ในระยะสั้นนี้ มาตรการของทางการเปรียบเสมือน การพยายามกางร่มคันเล็กท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ แม้จะช่วยบังฝนได้บ้างในบางจุด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความผันผวนของตลาดโลกที่ยังคงซัดเข้าหาเศรษฐกิจไทยอย่างบ้าคลั่งได้