เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังหนีไม่พ้นกับดัก‘วิกฤติ’

เศรษฐกิจไทยปี 69 ยังหนีไม่พ้นกับดัก‘วิกฤติ’

เศรษฐกิจไทยปี 2569 ปีมะเมียว่ากันว่าเป็นปีแห่งม้าไฟ ซึ่งควรเป็นปีที่เต็มไปด้วยพลังงานสูง การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว การริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ทั้งมีความเชื่อว่าจะเป็นปีแห่งการเคลื่อนไหวที่แรงกล้า เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ต้องระวังความผันผวนไว้ด้วย...

    หากดูทรงปีนี้แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าปีหน้าดูยังไง ก็ยังไม่ใช่เส้นทางที่ราบเรียบสำหรับเศรษฐกิจไทย แม้กรอบเงินเฟ้อปี 2569 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังวางไว้ที่ระดับ 1-3% สะท้อนความพยายาม ธปท.ในการรักษาเสถียรภาพ หากตัวเลขบนกระดาษไม่อาจลบความจริงที่ว่า ปัจจัยเสี่ยงยังรายล้อมรอบด้าน ทั้งจากนอกประเทศ และจากโจทย์เชิงโครงสร้างภายในที่สะสมมานาน การคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นอย่างราบรื่นคงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ

    หนึ่งในความไม่แน่นอนสำคัญ คือ การเมืองไทยที่กำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การเปลี่ยนรัฐบาลหรือการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังเกิดขึ้นในปีหน้า ล้วนสร้างคำถามถึงความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ หากเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากมีเหตุการณ์ให้ต้องสะดุดกลางทาง หรือแม้จะเลือกตั้งเสร็จสิ้น แต่เกิดความล่าช้าหรือการจัดตั้งรัฐบาลมีปัญหา ไม่เพียงความเชื่อมั่นนักลงทุนจะสั่นคลอน แต่ภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องรับต้นทุนจากความไม่ชัดเจนในการกำหนดทิศทางประเทศ

    ขณะเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะทยอยปรับเพิ่ม แม้ไม่ถึงขั้นเงินฝืด แต่ยังมีความผันผวนจากราคาพลังงานและปัจจัยโลก เป็นสัญญาณเตือนว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคต้องอาศัยความระมัดระวังสูง รัฐไม่อาจใช้มาตรการกระตุ้นแบบหว่านแหได้อีกต่อไป หากขาดการคำนึงถึงเสถียรภาพในระยะกลางและระยะยาว โจทย์ใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามคือภาคเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังเศรษฐกิจไทย แต่กลับเผชิญปัญหาการเข้าถึงสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง การปล่อยกู้ใหม่ที่ติดลบยาวนาน เป็นสัญญาณชัดว่ากลไกทางการเงินกำลังติดขัด มาตรการชดเชยต้นทุนสินเชื่อที่ธปท. คลัง และภาคธนาคารเตรียมผลักดันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากไม่ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถผู้ประกอบการ
    บทเรียนสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบาย คือ ปีหน้าอาจไม่ใช่เวลาของนโยบายประชานิยมระยะสั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านความสม่ำเสมอ ความชัดเจน และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากชุดใด ต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาวินัยการคลัง ควบคู่กับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ท้ายที่สุด เศรษฐกิจไทยจะเดินต่อไปได้อย่างมั่นคงหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อ หรือตัวเลขเศรษฐกิจอื่นใดเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับความพร้อมของประเทศในการรับมือความผันผวน การเมืองที่มีเสถียรภาพ และนโยบายที่ต่อเนื่อง หากภาครัฐและผู้กำหนดนโยบายยังมองปัญหาแบบระยะสั้น เศรษฐกิจไทยปีหน้า ก็อาจยังไม่พ้น “กับดักวิกฤติ” เราอาจทำได้แค่การประคองตัวท่ามกลางความไม่แน่นอน มากกว่าการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างแท้จริง