BNPL ระเบิดลูกใหม่ หนี้ครัวเรือนที่ควรเฝ้าระวัง

บริการ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วบนแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ กำลังกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศ
แม้ว่าแนวคิดเริ่มแรกของ BNPL จะมุ่งสนับสนุนให้นักศึกษาที่ยังไม่มีประวัติเครดิตบูโรสามารถเข้าถึงสินค้าจำเป็นได้ แต่ปัจจุบันบริการดังกล่าวได้ขยายขอบเขตไปสู่สินค้าแฟชั่นและสินค้าราคาสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น เยาวชนอายุ 18-19 ปี ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์การขอสินเชื่อทั่วไป (อายุ 20 ปีและรายได้ 15,000 บาท) สามารถเข้าถึงวงเงินสูงถึง 20,000-30,000 บาท ส่งผลให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นวงจรหนี้เร็วขึ้นอย่างน่าวิตก
รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ช่องว่างในการกำกับดูแล แหล่งข่าวในภาคการเงินชี้ให้เห็นว่า หากแพลตฟอร์มเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเอง ธุรกรรม BNPL จะไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เนื่องจากมีการตีความว่าเป็น “การขายแบบผ่อนชำระ” มากกว่า “การให้สินเชื่อ” หรือ “เครดิต” การตีความดังกล่าวส่งผลให้หน่วยงานกำกับดูแลเลือกที่จะไม่เข้าไปแทรกแซง บางแพลตฟอร์มจึงใช้กลยุทธ์การตั้งบริษัทลูกที่ขอใบอนุญาตนาโนไฟแนนซ์สำหรับปล่อยกู้ให้ผู้ขาย และใช้ใบอนุญาต P-loan สำหรับปล่อยกู้ให้ผู้ซื้อ เพื่อดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบกฎหมายที่หลวมกว่า
การขาดการกำกับดูแลที่เข้มงวดส่งผลให้เกิดการสะสมความเสี่ยงในระบบ เนื่องจากหนี้เหล่านี้กลายเป็น “หนี้ที่ไม่ถูกรายงาน” คล้ายกับกรณีหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในอดีตที่ไม่ถูกบันทึกในระบบ หนี้ที่ไม่ปรากฏเหล่านี้กำลังสร้างความเสี่ยงสะสมที่จะปรากฏออกมาอย่างรุนแรงเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ สิ่งที่น่าวิตกคือ ณ ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามากำกับดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง แม้แต่ ธปท. เองก็ยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับประเด็นหนี้ครัวเรือน
การแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการเข้ามากำกับดูแลอย่างเป็นระบบก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม เมื่อภาครัฐกำหนดให้การแก้ไขหนี้ครัวเรือนเป็นวาระสำคัญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดให้แพลตฟอร์ม BNPL ทุกรายรายงานข้อมูลสินเชื่อเข้าสู่ระบบเครดิตบูโรอย่างครบถ้วน เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของระบบได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ BNPL เพียง 2 รายเท่านั้นที่สมัครเข้าระบบเครดิตบูโร และมีเพียง 1 รายที่ได้ส่งข้อมูลจริง ความไม่สม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎยังปรากฏชัดเมื่อบริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์บางแห่งไม่ยอมเข้าร่วมระบบ สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในการกำกับดูแล
หากยังคงปล่อยให้มีการตีความคำว่า “เครดิต” และ “การให้กู้ยืม” อย่างจำกัด โดยไม่ครอบคลุมรูปแบบการให้สินเชื่อใหม่ๆ ประเทศจะต้องเผชิญกับวิกฤติหนี้รุ่นใหม่ในกลุ่มเยาวชน ซึ่งจะกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจระยะยาว ทั้งที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดิมยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ การปฏิรูปกรอบการกำกับดูแลเพื่อให้ครอบคลุมบริการทางการเงินรูปแบบใหม่จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนยากต่อการควบคุม







