จุดเปลี่ยนประเทศไทยพ้นวิกฤติหรือ ‘จมลึกกว่าเดิม’

การประกาศยุบสภาของรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เกิดขึ้นท่ามกลางจังหวะเวลาที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ
เมื่อปัจจัยลบทั้งภายนอกภายใน โหมกระหน่ำพร้อมกัน ตั้งแต่ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สงครามการค้าโลกที่ทวีความตึงเครียด การเจรจาภาษีกับสหรัฐในยุคทรัมป์ที่ไร้ความคืบหน้า ไปจนถึงเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลงแทบทุกมิติ การตัดสินใจยุบสภาในบริบทเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การรีเซ็ตทางการเมือง แต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศที่กำลังอ่อนแรงอยู่แล้ว...
ผลที่ตามมา คือ “สุญญากาศทางการเมือง” เมื่อรัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ อำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบายถูกจำกัด ข้าราชการจำนวนไม่น้อยเข้าสู่โหมดเกียร์ว่าง โครงการใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหยุดชะงัก ทั้งที่ประเทศต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและเด็ดขาดมากกว่าช่วงเวลาใดๆ ความล่าช้าเพียงไม่กี่เดือน อาจแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟู
ด้านเศรษฐกิจความไม่แน่นอนทางการเมืองยิ่งซ้ำเติมความเชื่อมั่นที่เปราะบางอยู่แล้ว นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเลือก “รอดูท่าที” เงินลงทุนใหม่ถูกชะลอ การจ้างงานไม่ขยาย ผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญต้นทุนสูง รายได้ลด กำลังซื้อหดตัว เมื่อการเมืองไม่ชัดเจน เศรษฐกิจก็ยากเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่นับรวมภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วมภาคใต้ ที่ต้องการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ รัฐบาลที่ไร้อำนาจเต็มย่อมไม่อาจขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ที่เดือดร้อนจริง กำลังรอคอยความช่วยเหลือที่ไม่ควรถูกผูกไว้กับเกมการเมือง
การเลือกตั้งครั้งใหม่ จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมตามครรลองประชาธิปไตย แต่คือ “ทางออกจำเป็น” ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความเรียบร้อยของกระบวนการเลือกตั้ง ยังเป็นคำถามใหญ่ หากการเลือกตั้ง ถูกตั้งข้อสงสัยหรือเกิดปัญหาซ้ำซาก วิกฤติความชอบธรรมจะยิ่งฉุดรั้งประเทศให้จมลึกลงไปอีก เราขอส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้บริหารบ้านเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ต้อง “เร็ว โปร่งใส และน่าเชื่อถือ” มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประเทศไทยไม่มีเวลาเหลือเฟือ ที่จะปล่อยให้สุญญากาศทางอำนาจยืดเยื้อ การได้รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มและความชอบธรรม คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการพาประเทศออกจากวงจรวิกฤติ คำถามสำคัญ จึงไม่ใช่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง แต่คือประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่กล้าตัดสินใจ แก้ปัญหาตรงจุด มองประโยชน์ประเทศเหนือผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ หากการยุบสภาครั้งนี้นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่เข้มแข็ง ประเทศยังพอมีทางเดินต่อ แต่หากทุกอย่างวนซ้ำอยู่ในหุบเหวเดิม วิกฤติครั้งนี้อาจลึกและยาวนานกว่าที่ใครคาดคิดไว้







