“NEPBABE: คนรุ่นใหม่..ใส..หรู..ดูดี”

คุณเคยได้ยินคำว่า “Nepo Baby” ไหมครับ คำนี้กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลก
คำเต็มคือ “Nepotism Baby” ซึ่งหมายถึง “คนหนุ่มสาว ที่ใช้ชีวิตสะดวกสบาย หรูหรา และประสบความสำเร็จ เพราะเป็นลูกหลานตระกูลดัง ที่พ่อแม่มีฐานะและบารมีในสังคม”
ผมเป็นคนชอบประดิษฐ์คำ เลยคิดคำใหม่ให้เรียกสั้นๆว่า“NEPBABE”อ่านว่า “เนบ-เบ๊บ” คำนี้ยังไม่มีในดิกชันนารี และใครจะเอาไปใช้ ก็ไม่ขัดข้องครับ
ชีวิตประจำวันของเนบเบ๊บ มักเป็นเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ทานอาหารดีๆ เสื้อผ้าและเครื่องประดับแบรนด์เนม ขับรถราคาแพง ฯลฯ
แม้จะเป็นเงินของเขา แต่บางครั้งวิถีชีวิตแบบนี้ กลายเป็นประเด็นสังคมขึ้นมาได้ เช่น การโพสต์ภาพชีวิตหรูลงโซเชียลมีเดีย ทำให้มีผู้เห็นความแตกต่างในสังคมชัดเจนขึ้น แม้คนโพสต์จะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
หนุ่มสาว Gen Z จำนวนมากที่ต้องต่อสู้เพื่อสร้างความสำเร็จด้วยความเหนื่อยยาก รวมถึงประชาชนที่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้อง เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ ก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ จนอาจทำให้ความรู้สึกนั้นสะสม เหมือนความร้อนที่ค่อยๆคุกรุ่น
เมื่อถึงจุดหนึ่ง โอกาสและความร่ำรวยที่แตกต่างกันมาก ก็อาจจะปะทุเป็นเปลวเพลิง เหมือนเหตุการณ์ในเนปาลเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ทำให้เปลวเพลิงเผาผลาญไปทั่วนครหลวงกาฏมัณฑุ
เริ่มจากเสียงวิจารณ์รัฐบาล ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในโซเชียล ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นเฟคนิวส์ แต่รัฐบาลเนปาลไม่ชอบ ก็เลยสั่งปิดโซเชียลมีเดียสำคัญ เกือบทั้งหมดเมื่อต้นเดือนนี้
เป็นการปิดหูปิดตาคนรุ่นใหม่ไปโดยปริยาย และปิดโอกาสในการสื่อสารและการทำมาหากินของพวกเขาด้วย เปรียบเสมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ
Gen Z ลงถนนมากมายแล้วการประท้วงของพวกเขาที่ชีวิต “ไม่รวย ไม่หรู ไม่ดูดี” ก็ขยายประเด็นไปสู่เรื่องใหญ่ที่ใหญ่กว่า คือการคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการ
บวกกับความรู้สึกของประชาชน ที่ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้น และปัญหาอื่นที่สะสมกันมานาน ดังนั้นเพียงไม่กี่อึดใจของการประท้วง ประชาชนจึงออกมารวมกับ Gen Z เต็มท้องถนน และขยายวงออกไปเรื่อยๆ
เหตุการณ์ลุกลามไปถึงการวางเพลิงอาคารสถานที่ของรัฐ และเอกชน เผาบ้านนักการเมือง ทำร้ายรัฐมนตรีคลัง ฯลฯ เกิดความเสียหายใหญ่โต ตำรวจออกมาปราบปราม ทำให้มีทั้งนักศึกษาและประชาชนเสียชีวิต
ภาพการเผาทำลายแบบนี้ คนไทยเราเองก็เคยเห็นมาแล้วหลายครั้งในอดีต ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป
ผมได้บอกแล้วว่าที่ไหนๆก็มี เนบเบ๊บ เช่นที่ ฮอลลีวู้ด ก็มีดารารุ่นใหม่ ที่ถูกกล่าวหาว่าเด่นดังขึ้นมาได้ เพราะบารมีของพ่อแม่ที่เป็นดาราซึ่งมีชื่อเสียง นี่ก็เรียกว่าเป็น เนบเบ๊บ ประเภทดารา
สำหรับบ้านเรา คงมีเนบเบ๊บดารา อยู่บ้างเนบเบ๊บนักธุรกิจ ก็มีเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าคนทั่วไปยังไม่ค่อยติดใจอะไร กับกลุ่มนี้มากนัก
แต่ เนบเบ๊บนักการเมือง มักจะมีประเด็นครับ
เช่นกรณีพ่อหรือแม่ขาดคุณสมบัติ ก็ส่งลูกขึ้นนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีแทน ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพิสูจน์ความสามารถให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจน
สังคมจึงอดถามไม่ได้ว่า เมืองไทยเรานี่ ใครจะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีก็ได้หรือ? สืบทอดกันมาบริหารบ้านเมืองได้ด้วยหรือ? เป็นต้น
โดยทั่วไปคำว่า Nepotism Baby มีความหมายของศัพท์ ที่บ่งชี้ไปในทางลบครับ ดังนั้นถ้าใครถูกเพื่อนเรียกว่า “เฮ้ย…เนบเบ๊บ!” ก็อาจจะเกิดอาการขุ่นเคืองกันได้เลยนะ
แต่ต้องให้ความเป็นธรรมครับ เพราะ เนบเบ๊บ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักธุรกิจ หรือนักการเมือง ก็มีคนที่โปรไฟล์ดีจริง เรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำ พูดภาษาต่างประเทศได้คล่องแคล่ว และผ่านประสบการณ์ทำงานที่ดี
กลุ่มนี้ได้รับการยอมรับจากสังคมครับ
แต่คนที่ไม่ได้โดดเด่น ความสามารถไม่ชัดเจน และได้โอกาสมาจากบารมีทางบ้านล้วนๆ ตรงนี้ทำให้สังคมกังขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการเมืองเพราะพวกเขาต้องมาบริหารประเทศ
ผมไม่ได้กล่าวถึงใครเป็นการเฉพาะ เพราะว่ามีหลายกรณี เพียงแค่ชวนให้คิดเชิงระบบว่า เราจะยอมให้การเมืองไทยขับเคลื่อนด้วย “สายสัมพันธ์และบารมี” เพียงอย่างเดียวต่อไป อีกนานเพียงใด?
ความจริง การมีตระกูลการเมืองสืบทอดกัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติครับ อเมริกาก็มีตระกูลเคนเนดี้ และ ตระกูลบุช แต่ที่ไม่ค่อยมีเสียงตำหนิ เพราะลูกหลานของพวกเขาต้องลงสนาม
พิสูจน์ความรู้ความสามารถ โชว์วิสัยทัศน์ โต้วาที และเสนอนโยบายที่โดนใจ
รวมทั้งมีผลงานชัดเจนเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้พิจารณาตัดสินใจ ไม่ใช่ใช้เงินหรือบารมีของครอบครัวเพียงอย่างเดียว
ตรงนี้แหละครับ ที่บ้านเราควรพิจารณา
สรุปว่าถึงแม้ “เนบเบ๊บ” จะเป็นศัพท์ใหม่ แต่มันสะท้อนโจทย์สำคัญของประเทศว่า เราจะให้คนหนุ่มสาว Gen Y และ Gen Z ที่มีความสามารถ ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงได้อย่างไร โดยไม่ต้องฝ่าดงลูกคนดัง
เราต้องไม่เหมาเข่งว่า ลูกคนดังเป็นพวกที่ไม่มีความรู้ความสามารถ เพราะทุกคนย่อมมีความรู้ความสามารถแตกต่างกันไปแต่เราจะทำอย่างไร ให้ผ่านการพิสูจน์อย่างเสมอภาคโดยไม่ให้ทายาทตระกูลดัง ได้เปรียบตั้งแต่จุดสตาร์ท
เหตุการณ์ในเนปาลสอนเราว่า หากละเลยหรือรีรอ ความร้อนที่ดูเหมือนไม่มากนักในวันนี้ อาจสะสมจนกลายเป็นประกายเพลิงเมื่อใดก็ได้ เมื่อถึงวันนั้น ความเสียหายจะใหญ่หลวงเกินเยียวยา
อย่าลืมว่าเราเสียหายกันมา… มากพอและนานพอแล้วนะครับ







