“เสียงเดียว เปลี่ยนประวัติศาสตร์”

“เสียงเดียว เปลี่ยนประวัติศาสตร์”

การเมืองพลิกไปพลิกมาตลอดสัปดาห์ กว่าวาระเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี จะเข้าสู่สภาผู้แทนฯในวันนี้

แต่เรื่องที่ผมคัดมาคุยไม่เกี่ยวกับการเมืองวันนี้ครับ แค่โยงใยกับระบอบประชาธิปไตย ที่ตัดสินด้วยเสียงข้างมาก และชี้ว่าบางครั้ง เพียง “เสียงเดียว” ก็เปลี่ยนทิศทางของประเทศได้

เริ่มด้วยเรื่องการเรียกร้องสิทธิสตรี ซึ่งชาวอเมริกันได้พยายามผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สตรีมีสิทธิเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ เพราะเสนอไปทีไรก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

โอกาสมาถึงในปี 1920 เมื่อรัฐสภาลงมติเห็นชอบให้ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 19 (19th Amendment)เพื่อให้สตรีมีสิทธิเลือกตั้ง

แต่มตินี้จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐต่างๆ ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนรัฐทั้งหมด 48 รัฐ ซึ่งแปลว่าต้องได้ไม่ต่ำกว่า 36 รัฐ

ปรากฏว่ามีทั้งรัฐที่รับรอง ไม่รับรอง หรือยังไม่ออกเสียง แต่ในที่สุดก็มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่ามีรัฐให้การรับรองมาแล้วถึง 35 รัฐ ขาดอีกเพียงรัฐเดียวเท่านั้นเอง

ในขณะนั้นรัฐเทนเนสซี่ ได้รับการจับตาเป็นพิเศษ เพราะสมาชิกสภาที่นั่นอภิปรายกันอย่างร้อนแรง มีการรณรงค์ให้ติด“ดอกกุหลาบเหลือง” ถ้าเห็นด้วย และ“ดอกกุหลาบแดง”ถ้าไม่เห็นด้วย จนเกิดคำว่า“สงครามดอกกุหลาบ”(War of Roses)

ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นที่มาของ กีฬาสี เหลือง-แดงในบ้านเรา หรือเปล่านะครับ 555

การออกเสียงที่รัฐสภาเทนเนสซี่ ได้คะแนนสูสีกันมาก จนในที่สุดคะแนนก็เท่ากันพอดี เหลือเพียงเสียงสุดท้ายจากสมาชิกหนุ่มวัย 24 ปี นามว่า Harry Burn ซึ่งติดดอกกุหลาบแดงที่หน้าอก แปลว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่จะโหวต“โน” และเป็นสัญญาณชัดเจนว่า สิทธิเลือกตั้งของสตรีจะถูกตีตกอย่างแน่นอน

แต่พอถึงเวลาจริง… เขากลับโหวต “เยส!”

ทำให้ฝ่าย “เยส” ชนะ และรัฐเทนเนสซี่ส่งมติ ให้การรับรองการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นรัฐที่ 36สตรีอเมริกันได้สิทธิเลือกตั้ง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เห็นไหมครับว่า เสียงเดียวเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้จริงๆ

หนุ่ม Harry ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เขาเปลี่ยนใจเพราะได้รับจดหมายสั้นๆจากคุณแม่ซึ่งเขียนมาว่า “เป็นเด็กดีนะ ช่วยให้ผู้หญิงได้รับสิทธิเลือกตั้งด้วย”

เขาจึงโหวต “เยส”…. น่ารักจังเลย เด็กคนนี้!

ต่อมาในปี 2000 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง บุช กับ กอร์ ก็เกิดเหตุการณ์เสียงเดียวเปลี่ยนประวัติศาสตร์ อีกเช่นกัน

คะแนน Electoral ของผู้สมัครทั้งสองคน สูสีกันสุด ๆ และรอคะแนน Electoral จากอีกเพียงรัฐเดียวเท่านั้นคือรัฐฟลอริดา ถ้าใครได้ ก็ได้เป็นประธานาธิบดี แต่คะแนนที่ฟลอริด้าก็ใกล้เคียงกันมาก ชนิดต้องใช้แว่นขยาย จึงเริ่มนับคะแนนกันใหม่

กลายเป็นประเด็นทางกฎหมาย ไปถึงศาลสูงสุด ซึ่งจะต้องตัดสินว่าการนับคะแนนใหม่ ทำได้หรือไม่ ศาลสูงสุดตัดสินด้วยมติ5 ต่อ 4 เสียง ว่าการนับคะแนนใหม่ทำไม่ได้ ผลก็คือบุช ได้คะแนน Electoral ไปจากรัฐฟลอริด้า และได้เป็นประธานาธิบดีในที่สุด

เป็นอีกครั้ง ที่เสียงเดียวเปลี่ยนผู้นำประเทศ และเปลี่ยนทิศทางโลกไปในทันที

แล้วไทยเรา เคยมีแบบนี้ไหม?

ตอบว่ามีครับ และหลายครั้งด้วย

เช่นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2544ซึ่งมีมติ 8 ต่อ 7 ในกรณี ”ซุกหุ้น“และมีผลให้ผู้ถูกร้อง “รอด” ได้ทำหน้าที่บริหารประเทศต่อไป ซึ่งเสียงเดียวครั้งนั้น มีผลให้ทิศทางการเมืองของไทย เป็นไปอย่างที่เราเห็นกันมานี้ อย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว

ถ้าหากวันนั้น คะแนนพลิกไปอีกทางหนึ่ง แม้พลิกเพียงคะแนนเดียว ทิศทางการเมืองประเทศไทยในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ก็จะเป็นอย่างอื่น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า จะเป็นเช่นใด

ต่อมาในปี 2556ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 กำหนดไว้ว่า สมาชิกวุฒิสภา ต้องมาจากการเลือกตั้งและแต่งต้้งอย่างละครึ่งแต่รัฐบาลมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 

เรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฯ วินิจฉัยว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4ซึ่งเสียงเดียวนี้เอง ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกปัดตก และต่อมาก็เป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่วิกฤตการเมืองในปี 2556–2557เลยทีเดียว

ต่อมาเมื่อปีที่แล้ว 2567 ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยกรณี “จริยธรรม” ของนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 5 ต่อ 4เป็นเสียงข้างมากเพียงเสียงเดียวอีกครั้ง ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่ง

เป็นการเปลี่ยนประวัติศาสตร์การเมืองอีกครั้ง เพราะเรามีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งอยู่ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น ก็จบลงด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง แล้วตามมาด้วยความโกลาหลในการจับขั้วการเมืองทั้งสัปดาห์ กว่าจะเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เข้าสู่สภาผู้แทนฯ ในวันนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่สังคมกำลังจับตามอง ก็คือวันที่ 9 กันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำสั่งกรณีชั้น 14โดยมีองค์คณะผู้พิพากษา 5 คน

ผลจะออกมาเป็นเอกฉันท์ หรือใกล้เคียงกัน หรือต่างกันเพียงเสียงเดียว ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าและในวงสนทนาก็มีการทายผลกันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการวินิจฉัยของศาล คงไม่รู้สึกสนุกเท่าไรหรอกครับ

แต่ไม่ว่าคำสั่งในวันที่ 9 กันยายนนี้ จะเป็นเช่นใด ที่แน่ๆก็คือ จะส่งผลต่อทิศทางประเทศอีกครั้งหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รอดูครับว่า วันที่เก้าเดือนเก้า ใครจะได้ก้าวไปทางไหนกันบ้าง