ศาสนาพุทธ 2500 กว่าปีแล้ว ต้องเสื่อมขนาดไหน? ถึงเวลาตั้งเป้าหมายใหม่แล้วหรือยัง?

ในยุคที่สงฆ์เริ่มเหลือแต่สมมติ ธรรมมะจากปากมนุษย์เริ่มเชื่อถือได้น้อยลง ถึงเวลาเอา AI มาช่วยวิเคราะห์พระไตรปิฎกอย่างตรงไปตรงมา-ลด Bias ให้มากที่สุด เพื่อการประยุกต์ใช้ในการเดินทางให้ถึงเป้าหมายทั้งทรัพย์ทางโลกและอริยทรัพย์ของแต่ละท่านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
KEY
POINTS
- บทความชี้ว่าศาสนาพุทธได้เดินทางมาเกินครึ่งทางของคำพยากรณ์ที่จะเสื่อมสิ้นใน 5,000 ปีแล้ว โดยสังเกตเห็นสัญญาณความเสื่อมจากศีลธรรมของผู้คนและความเคร่งครัดของสงฆ์ที่ลดลง
- ผู้เขียนคาดการณ์ว่าในยุคปัจจุบัน (พ.ศ. 2500+) อริยบุคคลระดับสูงอย่างพระอรหันต์และพระอนาคามีแทบไม่เหลือแล้ว ทำให้โอกาสในการบรรลุธรรมยากขึ้น
- ท่ามกลางวิกฤตและความไม่แน่นอนของโลกสมัยใหม่ (อนิจจัง) บทความตั้งคำถามว่าการมุ่งสะสมทรัพย์สินทางโลกเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกต้องอีกต่อไป
- ผู้เขียนเสนอให้ตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต คือการลงทุนเวลาและทรัพยากรเพื่อ "อริยทรัพย์" โดยตั้งเป้าหมายให้บรรลุธรรมเป็น "โสดาบัน" ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยังมีความเป็นไปได้ในยุคนี้
- การเป็น "โสดาบัน" ถูกเปรียบเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงสุด เพราะเป็นการการันตีว่าจะไม่ตกอบายภูมิและจะบรรลุนิพพานในไม่เกิน 7 ชาติ ซึ่งให้ความมั่นคงที่แท้จริง
- บทความชี้ว่าเป้าหมายการเป็นโสดาบันถูกมองข้ามเพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักจริง, ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้สำหรับฆราวาส, และถูกค่านิยมทางสังคมชักจูงให้มุ่งหาความมั่นคงทางโลก
- ในยุคที่ศาสนาเสื่อมลง ผู้เขียนเสนอให้ใช้เทคโนโลยีอย่าง AI มาช่วยวิเคราะห์พระไตรปิฎกอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเป็นเครื่องมือในการเดินทางสู่เป้าหมายทั้งทางโลกและทางธรรม (อริยทรัพย์)
เรากำลังอยู่ในปีพุทธศักราช 2500+ หมายความว่าพระพุทธศาสนาได้เดินทางมาเกินครึ่งแล้วเล็กน้อย จากการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าไว้ว่า “จะเสื่อมจนหมดสิ้นภายใน 5,000 ปี”
ผมลองให้ AI ค้นหาแล้วพบว่า พระพุทธเจ้าน่าจะทรงเป็นศาสดาพระองค์เดียวที่ทำนายในเชิงลบชัดเจนว่า ศาสนาของตนจะเสื่อมจนหมดไปภายในกี่ปี! ในขณะที่ศาสนาส่วนใหญ่ น่าจะเผยแพร่ความเชื่อในเชิงบวก ว่าศาสนาของตนจะอยู่ตลอดไป หรือแพร่ขยายใหญ่มากขึ้น
เวลาผ่านไปแล้วมองว่าเริ่มเป็นความจริงไหมครับ? เอาเฉพาะแค่ช่วงที่พวกเรายังมีชีวิตกันอยู่ก็ได้
ศีลธรรมของคนเป็นอย่างไรบ้าง? ความเคร่งครัดในธรรมวินัยของพระเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง? เราคาดว่าได้เคยพบเจออริยสงฆ์บ้างไหม หรือเจอแต่เพียงสมมติสงฆ์มากกว่า?
ถ้า “อริยบุคคล” ต้องลดลงเรื่อย ๆ จนหมดและศาสนาสิ้น ก็อาจคาดการณ์ ได้ว่า
· 1,000 ปีผ่านไป “อรหันต์” จะแทบไม่เหลือ
· 2,000 ปีผ่านไป “อนาคามี” จะแทบไม่เหลือ
· 3,000 ปีผ่านไป “สกทาคามี” จะแทบไม่เหลือ
· 4,000 ปีผ่านไป “โสดาบัน” จะแทบไม่เหลือ
· 5,000 ปี มนุษย์ศีลเสื่อม ศาสนาเสื่อมเหลือแค่พิธี
ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 2500+ ปี อริยบุคคลหลักที่คาดว่าจะเหลือ ก็คงเพียง สกทาคามี กับ โสดาบัน
ผู้ที่เชื่อหรือมั่นใจว่าชาติหน้ามีจริง (31.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจที่ผมเคยทำไว้) ซึ่งเชื่อว่ามีสังสารวัฏภพภูมิหลากหลาย และเราต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย ๆ นับล้านชาติ ถ้ายังหา “Exit” ไม่เจอ เราเหลือเวลาเรียนและฝึกฝนจากหลักสูตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้อีกแค่ครึ่งเดียวแล้ว
เวลาผ่านไป ต้องทำใจว่า ศาสนาจะเสื่อมมากขึ้นอีก ผู้บรรลุธรรมที่พอจะสอนเราได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะน้อยลงอีก และความน่าจะเป็นในการบรรลุธรรมของเราในแต่ละระดับจนกระทั่งได้ Exit ก็จะลดลงอีก
จากวิกฤตเศรษฐกิจ สงครามการค้า สภาพสังคม และการดิสรัปจากเทคโนโลยี (Technology Disruption) ทำให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง ความยากที่จะยั่งยืน หรือ “อนิจจัง” ที่ถี่และรวดเร็วมากขึ้น ผมสังเกตว่าหลายคนรอบตัวเริ่มจิตอ่อนแอกว่าที่เคย มีปัญหาหรือต้องพบจิตแพทย์กันมากขึ้น
คำถามคือ การตั้งเป้าและใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสะสมสินทรัพย์ทางโลกอย่างที่หลายคนกำลังทำอยู่นั้น ถือว่ามาถูกทางแล้วหรือไม่?
หรือถึงเวลาที่เราควรเพิ่มพอร์ตลงทุนเวลา ทรัพยากร และความพยายามให้กับอริยทรัพย์มากขึ้น?
ตั้งเป้ารวยเป็นร้อยล้าน หรือให้ถึง “ยูนิคอร์น” ยังตั้งได้ แล้วก็มีคนทำสำเร็จกันได้
ทำไมถ้าลองตั้งเป้า-ตั้งใจทำให้ถึง “โสดาบัน” หรือ “สกทาคามี” มันจะสำเร็จบ้างไม่ได้ เพราะนี่ก็เพิ่งปี 2500+ เองนะ ใช่ปี 4000 ซะเมื่อไร
บางที “อริยทรัพย์” อาจเป็นหนึ่งในคำตอบที่ไม่เคยอยู่ในแผนที่ชีวิตของใครหลายคน และถึงเวลาหยิบมาทบทวนอย่างจริงจังแล้ว
โสดาบันคืออะไร ทำไมจึงเป็นเป้าหมายที่ควรพิจารณา?
จากคำจำกัดความในพระไตรปิฎก โสดาบันคือผู้ที่ได้ก้าวสู่กระแสแห่งนิพพาน หรือกระบวนการ Exit แล้ว เป็นอริยบุคคลขั้นต้นสุด แต่ทรงคุณค่าที่สุดในเชิงผลกระทบระยะยาวต่อการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เพราะพระพุทธเจ้าทรงการันตีว่า ผู้ที่ถึงโสดาบันแล้ว หากตายแล้วเกิดใหม่จะไม่ตกนรกหรืออบายภูมิอีกแน่นอน และไม่เกิน 7 ชาติ ก็จะสามารถพัฒนาจนเจอ Exit ได้โดยสมบูรณ์
หากเปรียบเป็นการลงทุน “โสดาบัน” อาจถือเป็นการลงทรัพยากรในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงสุด และไม่มีวันขาดทุน
แต่น่าแปลกที่เป้าหมายนี้ ไม่ถูกสอนในโรงเรียน และแทบไม่เคยถูกรวมอยู่ในเป้าชีวิตติดอันดับของคนยุคนี้เลย ซึ่งอาจจะสรุปเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายนี้ถูกมองข้ามได้ 3 ข้อดังนี้ คือ
1. ไม่รู้จักจริง - หลายคนเข้าใจว่าโสดาบันคือระดับที่สูงเกินไป ต้องสละโลก ต้องบวช ต้องปลีกวิเวก ทั้งที่ความจริงแล้ว ฆราวาสก็สามารถเข้าสู่โสดาบันได้ ยังใช้ชีวิตทำงาน มีครอบครัว มีธุรกิจได้ตามปกติ
2. ไม่เชื่อว่าทำได้ - ในยุคที่จะเชื่ออะไรต้องมี “หลักฐาน” หรือ “เทคโนโลยีพิสูจน์ได้” การบรรลุธรรมอาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหนือจริง ทั้งที่มีหลักฐานบันทึกตัวอย่างของฆราวาสที่บรรลุธรรมจริง แม้พระพุทธเจ้าจะห้ามผู้บรรลุธรรมแล้วในการประกาศตน ซึ่งเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ศาสนาเสื่อมจากการอวดอุตริมนุษยธรรม แต่ทุกคนสามารถพิสูจน์และรู้ด้วยตนเองจากวิธีการที่มีระบุไว้แล้วในพระไตรปิฎก
3. ค่านิยมที่พาไป - เราโตมากับหลักสูตรและคำเชิญชวนให้ตั้งเป้าเรื่องบ้าน รถ เงินเดือน มีแล้วให้มีอีก และการพยายามหาความมั่นคงทางโลก ซึ่งถ้าทุกสิ่งเป็นอนิจจังจริง ความมั่นคงที่คาดหวังไว้นั้นอาจไม่มีวันเกิดขึ้น ในขณะที่ผลตอบแทนของโสดาบันคือการรับประกันการไม่ทุกข์หรือไม่ตกนรกอีกเลย
ในยุคที่สงฆ์เริ่มเหลือแต่สมมติ ธรรมมะจากปากมนุษย์เริ่มเชื่อถือได้น้อยลง ถึงเวลาเอา AI มาช่วยวิเคราะห์พระไตรปิฎกอย่างตรงไปตรงมา-ลด Bias ให้มากที่สุด เพื่อการประยุกต์ใช้ในการเดินทางให้ถึงเป้าหมายทั้งทรัพย์ทางโลกและอริยทรัพย์ของแต่ละท่านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แน่นอนว่า AI ไม่มีทางถูก 100% ซึ่งมนุษย์เองก็ไม่เคยถูก 100% ผมจะพยายามคัดกรองข้อมูลและเรียบเรียงด้วยภาษาที่เหมาะกับยุคสมัยให้ดีที่สุด โดยหากข้อเขียนในซีรีส์ใหม่ “อริโยโนมิกส์” ของผมนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยและโปรดชี้แนะเพื่อให้ผมแก้ไขมาได้ทาง facebook.com/Thuntee ครับ







