สุนทรพจน์ไวรัล

สุนทรพจน์ไวรัล

เดือนพฤษภาคม คือฤดูแห่งพิธีมอบปริญญาบัตรในมหาวิทยาลัยอเมริกัน ไฮไลต์สำคัญไม่ใช่แค่บัณฑิตในชุดครุยเท่านั้น แต่รวมถึงปาฐกถาของบุคคลสำคัญ และสุนทรพจน์ของผู้แทนนักศึกษาด้วย

สัปดาห์ที่ผ่านมา สุนทรพจน์ของบัณฑิตสาวเชื้อสายจีน จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก

เธอชื่อYurong “Luanna” Jiang อายุ 25 ปี บัณฑิตปริญญาโทจาก Harvard Kennedy School ที่ได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งใน “Student Orators” หรือผู้แทนบัณฑิต ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษา

ผมนั่งชมการถ่ายทอดสดแบบไม่ละสายตา และพูดกับตัวเองทันทีว่า “เด็กคนนี้จะโด่งดังแน่” ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คลิปวิดีโอการกล่าวสุนทรพจน์ของเธอ ถูกแชร์เป็นแสนครั้งทั้งในอเมริกา จีน และประเทศต่างๆ ในเอเชีย

ทำไมเธอจึงได้ขึ้นเวทีนั้น?

ฮาร์วาร์ดเปิดโอกาสให้บัณฑิต สมัครเข้าคัดเลือกเป็นผู้แทน กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีรับปริญญาบัตรเพียงปีละ 3 คนเท่านั้นคนแรกพูดภาษาละติน คนที่สองและสามพูดภาษาอังกฤษ โดยมี 1 คนเป็นผู้แทนบัณฑิตระดับบัณฑิตศึกษา

กระบวนการคัดเลือกเข้มข้นมาก ผู้สมัครต้องส่งต้นฉบับสุนทรพจน์ความยาว 5–7 นาที พร้อมคลิปวิดีโอสั้นๆ เพื่อให้คณะกรรมการประเมินทั้งเนื้อหาและอารมณ์การพูด

หากผ่านเข้ารอบสุดท้าย จะต้องนำเสนอสดต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ ประกอบด้วยอาจารย์ ผู้บริหาร และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย และถ้าได้รับคัดเลือกให้เป็น ผู้แทนบัณฑิต ก็ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดอย่างหนึ่งของชีวิตการเรียนที่ฮาร์วาร์ด

หลังจากได้รับการคัดเลือกแล้ว มหาวิทยาลัยก็จะส่งโค้ชมาช่วยฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น เพื่อให้การนำเสนอในวันพิธี ออกมาดีที่สุด

6 นาทีที่เปลี่ยนชีวิต

วันจริง น้องลวนน่าเดินขึ้นเวทีท่ามกลางผู้ชมกว่า 32,000 คนเธอหยุดนิ่งประมาณ 10 วินาที ก่อนเริ่มพูด ผมเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาของการตั้งสติและกำหนดสมาธิ เพราะสิ่งที่เธอกำลังจะพูด จะเป็นคำพูดสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

ลวนน่า พูดเพียง 6 นาทีกว่าๆ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แฝงความอ่อนโยน จังหวะการเว้นวรรค การสบตาผู้ฟัง การใช้ภาษากาย ฯลฯ ทุกอย่างล้วนผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ที่สำคัญคือ เธอต้องพูดปากเปล่าทั้งหมด เวทีนี้ไม่อนุญาตให้ถือโน้ตใดๆทั้งสิ้น

สิ่งที่ทำให้สุนทรพจน์ของเธอทรงพลัง เป็นเพราะ เธอใส่ “ความรู้สึก” เข้าไปในทุกคำพูด

“ถ้ามีผู้หญิงสักคนที่ไหนในโลกนี้ ที่ไม่สามารถซื้อผ้าอนามัยได้ ฉันก็รู้สึกยากจนไปด้วย”

“ถ้าเด็กผู้หญิงสักคน ไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะกลัวการคุกคาม ศักดิ์ศรีของฉันก็ถูกคุกคามไปด้วย”

“ถ้าเด็กชายคนหนึ่งต้องตายในสงครามที่เขาไม่ได้ก่อ และไม่เคยเข้าใจสงครามนั้น ส่วนหนึ่งของฉันก็ตายไปกับเขาด้วย”

ตามด้วยเสียงปรบมือดังกระหึ่ม ผู้คนทั่วโลกฟังเธอเพราะเธอไม่ได้พูดแค่ “เรื่องของตัวเอง” แต่พูดถึง “ความเป็นมนุษย์ร่วมกัน” ซึ่งเป็นแก่นของหัวข้อOur Humanity ที่เธอเลือกพูด

นอกจากนั้น สำเนียงอังกฤษผสมจีนของเธอ เมื่อฟังแล้วก็มีเสน่ห์มากทีเดียว

ลวนน่า เติบโตในเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง เรียนมัธยมต้นที่จีน ต่อมัธยมปลายที่อังกฤษ จากนั้นเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ Duke University ก่อนจะทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคารเครดิตสวิสในซานฟรานซิสโก แล้วจึงมาเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ฮาร์วาร์ด

ประวัติของเธอสะท้อนว่าเธอมาจากครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาและมีฐานะเพียงพอ แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ เธอใช้โอกาสที่มี เพื่อสื่อสารเสียงของคนที่ไม่มีโอกาส เด็กหญิงที่ไม่มีผ้าอนามัย เด็กชายในสงคราม หรือเด็กที่ไม่กล้าไปโรงเรียน

สิ่งที่เธอพูด ไม่ได้เป็นเพียงสุนทรพจน์ที่ดีในพิธีจบการศึกษาเท่านั้น แต่คือเสียงของความเปลี่ยนแปลงที่กล้าหาญและเปราะบางในเวลาเดียวกัน

คงต้องติดตามต่อไปว่า ชีวิตหลังจบการศึกษาของเธอ จะดำเนินไปในทิศทางใด และสาระต่างๆที่เธอได้กล่าวไว้อย่างน่าประทับใจในวันนั้น เธอจะมีโอกาสนำไปใช้ ในการสร้างสรรค์สังคมใกล้ตัวเธอ หรือสังคมโลก ได้อย่างไรหรือไม่

แล้วประเทศไทยล่ะ?

หากมองกลับมาที่บ้านเรา ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามหาวิทยาลัยไทยเปิดพื้นที่ให้บัณฑิตใหม่ได้แข่งขันกันแสดงสุนทรพจน์ ต่อหน้าสาธารณะในวันรับปริญญาบ้าง จะเป็นอย่างไร?

เราอาจได้ฟังเสียงที่จริงใจ อ่อนโยน และลึกซึ้งของคนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจกำลังตั้งคำถามกับประเทศไทย และโลกใบนี้อย่างซื่อตรง ไม่แพ้ที่น้องลวนน่า ทำได้ในวันนั้น

บางทีสุนทรพจน์ของบัณฑิตไทย อาจกลายเป็น “ไวรัล” ที่เปลี่ยนแปลงสังคมเราก็ได้นะ

ถ้าหากเราเปิดพื้นที่ เพื่อให้เสียงเหล่านั้นได้เปล่งออกมา