เกม 'วีโต้' มติแพทยสภา ลดน้ำหนักหลักฐานเด็ด?

เกม 'วีโต้' มติแพทยสภา ลดน้ำหนักหลักฐานเด็ด?

ดูเหมือนมติแพทยสภา กรณีทักษิณ ชินวัตร ได้พักรักษาตัวอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนได้รับพักโทษ ที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 คน คนหนึ่งว่ากล่าวตักเตือน อีก 2 คนพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถูกมองจากหลายฝ่ายว่า นี่คือ “หลักฐานเด็ด” ที่ “ป.ป.ช.” และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะนำมาใช้ประกอบสำนวนคดี

แม้นักกฎหมาย เห็นว่า “มติแพทยสภา” ยังไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด ยังเหลือขั้นตอน “สภานายกพิเศษ” ซึ่งก็คือ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเห็นด้วยหรือไม่หรือจะยับยั้งมติดังกล่าว รวมทั้งผู้ถูกลงโทษ ยังมีสิทธิ์ร้องต่อศาลปกครอง เพราะเป็นมติที่เกี่ยวกับทางปกครอง ซึ่งขั้นตอนกว่าจะถึงศาลปกครองสูงสุด เชื่อว่าจะใช้เวลาอีกนาน

แต่ถึงกระนั้น มติแพทยสภาที่ให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 3 คน ก็แสดงว่า มีความผิดต่อจริยธรรมแพทย์เกิดขึ้น แม้ไม่อาจสรุปได้ว่า เป็นการช่วยเหลือ “ทักษิณ” ให้ได้รักษาตัวอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจหรือไม่ เพราะการสอบสวนเรื่องนี้เน้นเรื่องจริยธรรมแพทย์เป็นหลัก

นั่นเท่ากับ การได้รักษาตัวบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ จนได้รับพักโทษของ “ทักษิณ” มีแพทย์ที่เกี่ยวข้องทำผิดจริยธรรม 3 คน ซึ่งมีโทษตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนจนถึงพักใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพ ส่วนช่วย “ทักษิณ” หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เช่นกัน “มติแพทยสภา” จึงเป็นได้แค่ ความหวังของบางฝ่าย ที่จะนำไปสู่การเรียกพยานหลักฐานในการเอาผิดในชั้น “ป.ป.ช.” ซึ่งมีสำนวนไต่สวนข้าราชจำนวน 12 คน ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ และกรณีที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หยิบเอาเรื่องชั้น 14 มาไต่สวนเอง และนัดไต่สวน “ทักษิณ” ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า ขั้นตอนของมติแพทยสภา ก็ยังไปไม่ถึงไหน เพราะถูก “วีโต้” หรือยับยั้ง โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะ “สภานายกพิเศษ”
 

“สมศักดิ์” ชี้แจงการยับยั้งว่า ในขั้นตอนของการร้องเรียน มีผู้ร้องเรียนแพทย์ทั้งสิ้น 4 คน โดยมีอนุคณะกรรมการ 3 ชุด คือ คณะอนุกรรมการจริยธรรม คณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม รวมถึงแพทยสภา ทั้งหมดทำหน้าที่เป็นขั้นตอน ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องเรียน 4 คน ที่ถูกพิจารณาจากอนุกรรมการจริยธรรม ประกอบด้วย นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้ถูกร้องที่ 1 พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ผู้ถูกร้องที่ 2 พล.ต.ท.นพ.โสภณรัชต์ สิงหจา ผู้ถูกร้องที่ 3 พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ผู้ถูกร้องที่ 4

เมื่ออนุกรรมการจริยธรรม รับพิจารณาแล้ว บอกว่า มีมูล จึงส่งไปยังอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่มีความผิด ผู้ถูกร้องที่ 2 มีความผิดให้ว่ากล่าวตักเตือน ผู้ถูกร้องที่ 3 พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และผู้ถูกร้องที่ 4 พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 คน ได้รับการพิจารณาโทษแล้ว ซึ่งตนได้ใช้แนวทางข้อมูลส่วนใหญ่จากอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการพิจารณา แต่ในอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม ตนได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมไป 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับรายละเอียดกลับมา ตนจึงต้องพิจารณาตามข้อมูลที่มีอยู่ที่ได้ลงโทษไปครั้งแรก

“สมศักดิ์” เห็นว่า ในส่วนของ พญ.รวมทิพย์ ที่สั่งลงโทษด้วยข้อกล่าวหาว่าออกใบรับรองแพทย์ล่วงหน้าที่มีการตรวจร่างกายไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน แต่การส่งตัวเกิดขึ้นตอนกลางคืน บอกว่าแพทย์ไม่มีอำนาจส่งตัว อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าในการพิจารณาเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณากฎหมายการส่งตัวของราชทัณฑ์ประกอบด้วย ซึ่งการส่งตัวนั้นเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำ ตนจึงเห็นว่า เมื่อไม่นำเรื่องนี้มาพิจารณาอย่างครบถ้วน จึงเห็นสมควรว่า ต้องยกประโยชน์ให้ผู้ถูกร้อง
 

สมศักดิ์” กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ถูกร้องที่ 3 ที่บอกว่า มีการให้สัมภาษณ์ 2 ครั้ง แต่ไม่มีการพูดคำว่า ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ ตนพยายามหาข้อมูลก็ไม่พบ มีเพียงการสัมภาษณ์ว่าอาการหนัก น่าเป็นห่วง และการสัมภาษณ์นั้นไม่ได้เตรียมตัว เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งผู้ถูกร้องเป็นนายแพทย์ใหญ่ได้รับรายงานข้อมูลอาการตอนตรวจ กับตอนสัมภาษณ์แตกต่างกัน แต่ไม่มีการพูดถึงคำว่าวิกฤติแต่อย่างใด ซึ่งน่าเสียดายที่ตนไม่ได้รับข้อมูลจากอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมของแพทยสภา จึงพิจารณาตามที่มี ดังนั้น เห็นว่า ควรยกประโยชน์ผู้ถูกร้อง

ขณะที่ผู้ถูกร้องที่ 4 ที่เขียนความเห็นแพทย์ เขียนเพียง การรักษายังไม่เสร็จสิ้น ให้รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล แต่ไม่ได้ระบุว่า เป็นรพ.อะไร ซึ่งในส่วนนี้เป็นดุลพินิจของแต่ละคน ซึ่งผู้ถูกร้องรับทราบว่า ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว 14 โรค รู้ถึงความซับซ้อนการรักษา อาจแตกต่างจากราชวิทยาลัย ที่รับรู้เพียงบางโรค การแสดงความเห็นแพทย์จึงไม่อาจเหมือนกันทั้งหมด ประกอบกับคณะอนุกรรมการสอบฯ สอบสวนแล้วเห็นว่าไม่มีความผิด ตนจึงเห็นตามความเห็นของอนุกรรมการสอบสวนว่าไม่มีความผิด เพราะเสียงส่วนใหญ่ก็ให้เขาไม่ผิดแล้ว ตนจึงเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้

เมื่อถามว่า จุดที่วีโต้ไปคือการเพิ่มในส่วนจริยธรรมใช่หรือไม่ “สมศักดิ์” กล่าวว่า เมื่อคณะกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมมีมติออกมา คณะแพทยสภาก็มีการประชุมหลังจากนั้น ซึ่งตนไม่มีรายละเอียด กรณีนี้มีข้อมูลเดียวกัน แต่มาตรฐานการลงโทษแตกต่าง และมีการสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งตนคิดว่าหากปล่อยให้มีมาตรฐานในการลงโทษแพทย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ จะทำให้เดือดร้อนกันไปหมด ตนไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น เว้นแต่ว่า แนวทางเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นเหมือนเดิม ไม่อยากให้มีมาตรฐานใหม่ ทั้งนี้ หากการดำเนินการออกมาเป็นตามธรรมชาติ ก็จะไม่มีการออกมาโวยวาย

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่า มีการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นธรรมชาติ แสดงว่า มีการเมืองแทรกแซงใช่หรือไม่ “สมศักดิ์” กล่าวว่า ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหว เพราะไม่เป็นไปตามธรรมชาติของแพทยสภา อย่างในอดีตที่ผ่านมา ตนก็ไม่ได้ยับยั้งอะไร เพราะไม่มีการร้องเรียน หรือร้องขอความเป็นธรรม เราเห็นว่า เมื่อไม่มีการติดใจก็ผ่าน แต่เมื่อมีการเข้ามาขอความเป็นธรรม เราก็ควรพิจารณา

นอกจากนี้ เมื่อถามว่า การที่นายสมศักดิ์วีโต้แพทยสภา ค้านสายตาสังคม และมีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้มีใบสั่ง “สมศักดิ์” กล่าวว่า การวีโต้ หากไม่มีข้อมูลก็วีโต้ไม่ได้ และข้อมูลที่นำมา ก็ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ เราตัดสินจากข้อมูลที่มีอยู่ หากมีแบบนี้ เราก็ไม่ได้ตัดสินเป็นอย่างอื่น หากมีข้อมูลแบบนี้ แล้วตัดสินเป็นอย่างอื่น เราก็ผิด และจะมีปัญหา เพราะฉะนั้น ต้องไปดูว่า ข้อมูลที่ได้มาครบถ้วนแค่ไหน เราตัดสินบนข้อมูลและอำนาจหน้าที่ของสภานายกพิเศษ

ช่วงท้าย ถามว่า ได้คุยกับนายทักษิณในเรื่องนี้หรือไม่ “สมศักดิ์” กล่าวว่า ไม่ได้คุย มีแต่พูดถึงเรื่องคลิปหลุดในไลน์

สำหรับ แช็ตหลุด ไลน์กลุ่มแพทยสภา ถูกเปิดเผย จากกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในไลน์กลุ่มแพทยสภา มีการกระทำที่ขาดจริยธรรมเสียเอง(28 พ.ค.68)

“บางคนไลน์กลุ่มหลุดออกมา แพทยสภาบางคนด่าผม อยู่ในไลน์กลุ่ม แล้วแพทยสภาอีกคน ก็ตอบเป็นสติกเกอร์ไปว่า YES ซึ่งยังไม่ทันพิจารณาเลย อย่างนี้เรียกว่าจริยธรรมมีปัญหาซะเอง”

ทั้งนี้มีการเปิดเผยว่า แช็ตกลุ่มของกรรมการแพทยสภา ที่มีสมาชิก 86 คน มีการโน้มน้าว “แพทยสภา” ให้ลงมติไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จนสมาชิกให้ระมัดระวังการแสดงออกที่จะนำไปสู่ความไม่เป็นกลาง ตามมาตรา 16 วิธีปฏิบัติทางปกครองได้

ส่วนมติแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา แถลงข่าวภายหลังการประชุมแพทยสภาประจำเดือน ครั้งที่ 5/2568(8 พ.ค.68) โดยมีมติลงโทษแพทย์ 3 ท่าน คือว่ากล่าวตักเตือน 1 ท่าน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ท่าน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น จากกรณี “วีโต้” ของ “สมศักดิ์” ยังนำมาซึ่งการปลุกระดมแพทย์ให้ลุกขึ้นสู้ เพื่อตอบโต้ทางการเมือง

กรณี ผศ.นพ.ประยงค์ เต็มชวาลา อดีตนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ.2516 ออกแถลงการณ์ถึง “ประชาคมแพทย์” ทั่วประเทศ กรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ “วีโต้” ไม่เห็นด้วยกับมติแพทยสภาที่เสนอลงโทษแพทย์ 3 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร “กรณีชั้น 14” โดยสาระสำคัญมีข้อเสนอ 5 ข้อ

1.กระตุ้น และเชิญชวนแพทย์ที่เป็นกรรมการแพทยสภา(ทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง)ให้เข้าร่วมประชุมกรรมการแพทยสภา เพื่อให้ครบองค์ประชุมและมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ใน 3 ขององค์ประชุม คือไม่น้อยกว่า 47 คน เพื่อมีมติยืนยันมติของแพทยสภาอีกรอบ

2.ขอความร่วมมือ และรวบรวมรายชื่อแพทย์ และพี่น้องประชาชน เพื่อถอดถอนรัฐมนตรีสมศักดิ์และพลพรรค ที่วีโต้มติของแพทยสภา อันเป็นการทำให้เกียรติยศและศักดิ์ศรีขององค์กรแพทยสภาเสียหาย หรือลดต่ำลง

3.รวมพลังร่วมกับพี่น้องประชาชนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง และโค่นล้มรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง (ที่นำโดยลูกสาวของทักษิณ ชินวัตร)นี้อย่างเร็วที่สุด

4.ศึกษา วิเคราะห์ และถอดบทเรียน การเมืองการปกครองที่เป็นผลมาจากระบบการเลือกตั้ง (ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่ผ่านมา) เพื่อให้เกิดต้นแบบที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

5.ร่วมด้วยช่วยกัน แบ่งปันบทความนี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สมชัย ศรีสุทธิยากร นักวิชาการและอดีตกกต. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ตรรกะป่วยจัด”(31 พ.ค.68)

“สมชัย” ตั้งคำถามเปรียบเปรยว่า หากคิดเพียงว่าการกระทำของแพทย์หากไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ป่วย “ไม่ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณ” การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือกระบวนการยุติธรรมของรัฐนั้นก็ “ไม่ผิดจรรยาบรรณ” ใช่ไหม

ถ้าเช่นนั้น หมอออกใบรับรองแพทย์เป็นเท็จให้คนสมัครงาน ให้คนได้รับการยกเว้นการรับราชการทหาร ให้คนเอาไปเคลมเงินจากบริษัทประกัน หรือ คดีฆ่าคนตาย หมอก็ชันสูตรว่าเป็นอุบัติเหตุให้ฆาตกรพ้นผิด อย่างนี้ก็คงไม่ผิดจรรยาบรรณในความเห็นของท่านรัฐมนตรีและบรรดาที่ปรึกษาของท่าน

“หรือนี่ คือตรรกะ ของนักการเมืองที่มีประสบการณ์กว่า 40 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ที่บอกว่าตัวเองเลือกข้างถูกเสมอ ยกเว้นข้างประโยชน์ของประชาชน”

โดย “สมชัย” โพสต์ตอบโต้ความเห็นบางข้อที่ว่า “ยับยั้งมติลงโทษ” เพราะไม่ปรากฏความเสียหายของผู้ป่วย ในหนังสือ “วีโต้” ที่ส่งเรื่องให้แพทยสภา

เหนืออื่นใด การวีโต้ ของ “สมศักดิ์” ในฐานะ “สภานายกพิเศษ” ครั้งนี้ อาจมีความหมายมากกว่า มีข้อโต้แย้งปกติธรรมดากับ “มติแพทยสภา” โดยเฉพาะ ถ้ามติแพทยสภา น่าเชื่อถือน้อยลง หรือไม่เป็นกลางเพราะมีการเมืองแทรก จะเกิดอะไรขึ้น ประเด็นนี้นับว่าน่าคิด?