เลือกกรรมการตามวิธีในกฎหมายหรือตามข้อบังคับ

กฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด กำหนดให้บริษัทต้องมีกรรมการคณะหนึ่งเพื่อดำเนินกิจการของบริษัท ประกอบด้วย กรรมการอย่างน้อยห้าคน และกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร กรรมการของบริษัทนั้น เป็นอำนาจของที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้เลือก
วิธีการเลือกตั้งกรรมการตามวิธีที่กำหนดในกฎหมายบริษัทมหาชนจำกัด คือผู้ถือหุ้นมีคะแนนเสียงเท่าจำนวนหุ้นที่ถือคูณด้วยจำนวนกรรมการที่จะเลือกตั้ง ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นแต่ละคนจะใช้คะแนนเสียงที่ตนมีอยู่ทั้งหมด เทคะแนนเลือกตั้งบุคคลคนเดียวก็ได้ หรือแบ่งคะแนนให้บุคคลอีกหลายคนคนละเท่าใดก็ได้
บุคคลที่ได้รับคะแนนสูงสุดตามลำดับลงมาเป็นผู้ได้รับเลือกเท่าจำนวนกรรมการที่จะพึงมี ในกรณีที่บุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกมีคะแนนเท่ากันเกินจำนวนกรรมการที่พึงมี ให้เลือกโดยวิธีจับสลากเพื่อให้ได้จำนวนกรรมการเท่าที่พึงมี
แต่มีข้อยกเว้นคือ หากบริษัทนั้นมีข้อบังคับกำหนดวิธีการเลือกตั้งกรรมการแตกต่างไปจากที่กำหนดตามกฎหมายดังกล่าว และข้อบังคับนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่เป็นข้อจำกัดในลักษณะกีดกันมิให้ผู้ถือหุ้นเป็นกรรมการ การเลือกตั้งกรรมการก็ต้องเป็นไปตามวิธีที่กำหนดในข้อบังคับ
ถ้าบริษัทไม่มีข้อบังคับกำหนดวิธีการเลือกตั้งกรรมการแตกต่างจากวิธีการที่กำหนดในกฎหมาย ในการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปีทุกครั้ง ก็ให้มีการเลือกตั้งกรรมการทั้งชุดพร้อมกันในคราวเดียวกัน
โดยให้คณะกรรมการชุดเดิมรักษาการในตำแหน่งเพื่อดำเนินกิจการของบริษัทเท่าที่จำเป็นไปก่อน จนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ได้
กรณีที่บริษัทนั้นมีวิธีการเลือกกรรมการตามที่กำหนดในข้อบังคับแตกต่างจากวิธีที่กำหนดในกฎหมาย (มาตรา70)ก็ให้กรรมการออกจากตำแหน่งหนึ่งในสามหรือใกล้เคียงที่สุดกับอัตราหนึ่งในสาม
ทั้งนี้กรรมการที่จะออกจากตำแหน่งในปีแรกและปีที่สองหลังการจดทะเบียนตั้งบริษัท ถ้าในข้อบังคับมิได้กำหนดวิธีไว้ ให้ใช้วิธี จับสลาก ส่วนปีหลังต่อไปให้กรรมการที่อยู่นานสุดเป็น ผู้ออกจากตำแหน่ง
สำหรับกรณีมีตำแหน่งกรรมการว่างลง เพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระ และวาระนั้นยังอยู่เกินสามเดือน คณะกรรมการบริษัทสามารถเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติที่เป็นกรรมการได้ เป็นกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างได้ โดยไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้เลือก
แต่มติของของกรรมนั้นจะต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการที่เหลืออยู่ โดยกรรมการที่ได้รับการคัดเลือกในกรณีนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของกรรมการที่ตนแทน
การเลือกกรรมการที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ
มีกรณีการเลือกตั้งกรรมการบริษัทของบริษัทมหาชน จำกัดที่มีปัญหาตามมาเป็นคดี คือ ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษ ตามกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ถูกฟ้องต่อศาลแพ่งให้เพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่ผิดระเบียบในการแต่งแต่งตั้งกรรมการซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมตินั้น และถูกผู้ถือหุ้นฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่2993/2566
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการบริษัท อ. ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 วาระที่ 3 เพื่อพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งกรรมการ จำเลยที่ 1 ประธานที่ประชุมให้จัดทำใบลงคะแนนเลือกตั้งกรรมการบริษัท
โดยให้ผู้ถือหุ้นหนึ่งคนมีคะแนนเสียงเท่ากับจำนวนหุ้นที่ถือคูณด้วยจำนวนกรรมการที่เลือก ซึ่งขัดกับข้อบังคับของบริษัท ข้อที่ 20 ที่กำหนดว่า ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งมีคะแนนเสียงเท่ากับหนึ่งหุ้นต่อหนึ่งเสียง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 หรือไม่
เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 แทนวิธีการตามที่กำหนดในข้อบังคับบริษัทข้อที่ 20
แต่ก็มีผู้ถือหุ้นบางส่วนรวมทั้งโจทก์ยังคงคัดค้านการใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ทั้งเมื่อยังไม่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับของบริษัท
ในกรณีดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาเหตุที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้วิธีการลงคะแนนตามมาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 แล้วดำเนินการลงมติเลือกตั้งกรรมการด้วยวิธีการดังกล่าวหาได้ไม่
ประกอบกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ออกคำสั่งกล่าวโทษจำเลยที่ 1 เหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับข้อที่ 20 ทำให้กลุ่มของจำเลยที่ 1 ได้รับเลือกเป็นกรรมการ
อีกทั้งยังปรากฏว่าศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ประชุมเกี่ยวกับวาระเลือกตั้งกรรมการบริษัทในวันดังกล่าว จึงบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง
แต่กรณียังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องข้อหาตามมาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 281/2 วรรคหนึ่ง ให้ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์






