ฮับภัยพิบัติเชียงราย กับ โดมิโน่ความไม่มั่นคงชายแดน

ความไม่มั่นคงในเมียนมา ส่งผลเป็น “โดมิโน่” ต่อไทย โดยเฉพาะ เชียงราย กลายเป็น “ฮับภัยพิบัติ” ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติรุนแรงหลายด้าน ล่าสุดคือ ปัญหาสารพิษปนเปื้อน
KEY
POINTS
- เชียงรายกลายเป็น “ฮับภัยพิบัติ” ที่ได้รับผลกระทบจากเพื่อนบ้านเผชิญภัยพิบัติรุนแรงหลายด้าน ทั้งแผ่นดินไหว ฝุ่นควันข้ามแดน น้ำท่วม โคลนถล่ม และล่าสุดคือปัญหาสารพิษปนเปื้อน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา
- ความไม่มั่นคงในเมียนมา ส่งผลเป็น “โดมิโน่” ต่อไทย หากรัฐหนึ่ง (ในกรณีนี้คือเมียนมา) ไม่มีเสถียรภาพ ก็จะส่งผลกระทบลุกลามไปยังรัฐเพื่อนบ้านในด้านต่างๆ ทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ผู้อพยพ และอาชญากรรมข้ามชาติ
- การแก้ปัญหาข้ามพรมแดนต้องอาศัยเสถียรภาพของรัฐเพื่อนบ้านแต่ด้วยสภาพความวุ่นวายทางการเมืองภายในเมียนมา เช่น การแบ่งแยกอำนาจของชนกลุ่มน้อย การสู้รบ และรัฐบาลกลางที่ไร้เอกภาพ ทำให้การเจรจาไม่เกิดผล ข้อสรุปสำคัญคือ “เพื่อนบ้านมั่นคง เราก็มั่นคง”
มิตรสหายชาวเชียงรายบ่นว่า เชียงรายกลายเป็นฮับภัยพิบัติโดยสมบูรณ์ นับนิ้วเรื่อยมาระยะไม่กี่ปีมานี้ เกิดแผ่นดินไหวและผลกระทบแผ่นดินไหวจากเขตพม่าบ่อยครั้ง ครั้งใหญ่ที่สุดศูนย์กลางอำเภอแม่ลาว ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ความเสียหายมากครอบคลุม 7 อำเภอ ล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมาศูนย์กลางท่าขี้เหล็กห่างพรมแดนแค่ 42 กิโลเมตร ครั้งนั้นผู้คนก็แตกตื่น
อีกภัยพิบัติประจำปีที่เชียงรายเผชิญก็คือ ฝุ่นควันข้ามแดน ซึ่งชัดเจนมากว่าเป็นภัยที่คนเชียงรายไม่ได้ก่อ เพราะเชียงรายมีจุดความร้อนน้อยที่สุด ขณะที่อำเภอแม่สายติดชายแดนไม่มีแหล่งกำเนิดเลย กลับเผชิญฝุ่นละอองที่เข้มข้นเป็นอันตรายเกินมาตรฐานมากเป็น 10 เท่าตัว
พิบัติภัยที่กำลังจะเป็นภัยประจำปีอีกประการคืออุทกภัยน้ำท่วมโคลนถล่ม เหตุน้ำท่วมใหญ่อำเภอแม่สายหลายรอบต่อเนื่องจากปีกลาย รวมทั้งน้ำท่วมใหญ่ตัวเมืองเชียงรายที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุด..ยังมีพิบัติภัย "สารพิษปนเปื้อน" ที่มีอันตรายรุนแรงยาวนานต่อระบบนิเวศยิ่งกว่าน้ำท่วมก็โผล่ขึ้นมาอีก
ที่กล่าวมาล้วนเป็นภัยพิบัติใหญ่ระดับชาติทั้งสิ้น และที่ต้องพิจารณาเพิ่มก็คือ นอกเหนือจากแผ่นดินไหวที่เป็นภัยธรรมชาติ ที่เหลือคือ ฝุ่นข้ามแดน น้ำท่วมโคลนถล่ม และสารพิษข้ามแดน มีสาเหตุหลักมาจากน้ำมือมนุษย์ที่กระทำในเขตประเทศเพื่อนบ้านส่งออกมาให้ชาวเชียงรายที่พรมแดนติดกัน
ภัยพิบัติที่ส่งออกจากเพื่อนบ้านสู่ไทย
จากหลายภัยพิบัติข้างต้นสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่ง ภัยพิบัตินานัปการที่ทยอยถมใส่เชียงรายจนกลายเป็น “ฮับ” ไปแล้ว มาจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของเชียงรายเป็นเมืองหน้าด่านพรมแดนติดกับประเทศเมียนมา และเป็นผลกระทบมาจากการกิจกรรมของมนุษย์ในพื้นที่เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน
ฝุ่นควัน PM2.5 ที่กระทบต่อเชียงรายหลังจากเดือนมีนาคมเป็นต้นมา ส่วนใหญ่มาจากการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งการเผาป่าและภาคเกษตรในรัฐฉาน
ขณะที่น้ำท่วมโคลนถล่ม และยังปล่อยสารพิษลงมาตามลำน้ำสายและลำน้ำกก ยิ่งชัดเจนว่า มีการเปลี่ยนแปลงนิเวศป่าต้นน้ำ การเผา การเปิดหน้าดินทำเกษตร และยังมีการทำเหมืองแร่ที่ไม่ควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนนั้นเป็นประเด็นหารือมานานพอสมควรว่าจะจัดการแก้อย่างไร เพราะพื้นที่เผาในเขตรัฐฉานบางเขต อยู่ในอิทธิพลชนกลุ่มน้อยต่อให้รัฐบาลไทยเจรจากับรัฐบาลเมียนมาก็อาจจะไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ฝุ่นข้ามแดนนั้นเริ่มหนักขึ้นในช่วง 10 ปีมานี้ พร้อมๆ กับการขยายพื้นที่เกษตรในรัฐฉาน
ขณะที่พื้นที่สู้รบในป่าด้านทิศตะวันออกของน้ำสาละวิน ตั้งแต่แม่ฮ่องสอนขึ้นมา ก็เป็นแหล่งไฟไหม้ป่าใหญ่ที่สุดที่ส่งผลกระทบข้ามมา การสู้รบทำให้ไม่มีหน่วยใดไปดับไฟ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ทำกินบนที่สูงชายแดน ไม่ได้นำมาเฉพาะปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนเท่านั้น ยังมีผลโดยตรงกับปัญหาพิบัติภัยน้ำท่วมโคลนถล่ม ทั้งลุ่มน้ำสาย และลุ่มน้ำกก
การทำเหมืองแร่ ในเขตกองกำลังติดอาวุธว้า UWSA เป็นปัญหายุ่งยากในการประสานงาน เงื่อนทางการเมืองและการสู้รบในเมียนมาทำให้การแก้ปัญหาซับซ้อนขึ้น ต่อให้สามารถพูดคุยโดยตรงกับรัฐบาลทหารพม่าที่เนปยีดอก็ใช่ว่าจะมีอำนาจสั่งการลงพื้นที่ได้ทันที
ความวุ่นวายทางการเมือง ที่แบ่งเป็นประเทศเป็นกลุ่มฝ่าย รัฐบาลกลางไม่มีบูรณภาพเอกภาพและอำนาจบังคับ มีผลโดยตรงต่อความยากง่ายในการแก้ปัญหา
โดมิโน่แห่งความไม่มั่นคง
กรณีฮับภัยพิบัติเชียงรายที่มีสาเหตุปัจจัยมาจากประเทศเพื่อนบ้านและยากลำบากต่อการแก้ปัญหาเนื่องด้วยความไม่มีเสถียรภาพในประเทศเพื่อนบ้าน ตรงกับทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่าด้วย "แนวคิดโดมิโน่ไม่มั่นคง" (Domino effect of instability)
คือ หากรัฐเพื่อนบ้านไม่มั่นคง มีปัญหาเกิดขึ้นก็คล้ายกับเชื้อโรคที่จะส่งผลกระทบจากเหตุปัญหาต่อรัฐเพื่อนบ้านใกล้เคียง ยกตัวอย่าง
1. ด้านเศรษฐกิจ: หากรัฐหนึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติการเงิน อัตราการว่างงานสูง หรือปัญหาการค้า การส่งออกที่ลดลง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านได้ เช่น การค้าชายแดนหยุดชะงัก การลงทุนข้ามพรมแดนลดลง หรือแม้แต่การหลั่งไหลของแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีงานทำ
2. การอพยพและผู้ลี้ภัย: ความขัดแย้งภายในประเทศ สงครามกลางเมือง หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐหนึ่ง อาจนำไปสู่การอพยพของผู้คนจำนวนมากเข้าสู่รัฐเพื่อนบ้าน สร้างภาระด้านมนุษยธรรม สังคม และเศรษฐกิจให้กับรัฐที่รับผู้ลี้ภัย
3. อาชญากรรมข้ามชาติ: ปัญหาอาชญากรรม เช่น การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ หรือการฟอกเงิน มักไม่หยุดอยู่แค่พรมแดนประเทศเดียว ความไม่มั่นคงในรัฐหนึ่ง อาจทำให้กลุ่มอาชญากรรมขยายเครือข่ายและปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น
ที่จริงไทยเราก็ได้เห็นผลกระทบแบบโดมิโน่จากความไม่มั่นคงเพื่อนบ้านมีผลต่อรัฐข้างเคียง จากทั้งสามรูปแบบมาแล้ว ไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ ด้านอพยพผู้ลี้ภัย และล่าสุดก็คือ หากเพื่อนบ้านเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ มันก็มีผลต่อความไม่มั่นคงด้านนี้กับอีกประเทศชายแดนติดกันทันที กรณีจีนเทา แก๊งสแปมต้มตุ๋นข้ามชาติ ฯลฯ ต่างๆ ที่เพิ่งเกิด
ฮับภัยพิบัติเชียงราย เป็นผลกระทบโดมิโน่ความไม่มั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ (หมอกควันข้ามแดน) การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ หรือการตัดไม้ทำลายป่า มักไม่จำกัดอยู่แค่ภายในพรมแดนประเทศเดียว ความไม่มั่นคงในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของรัฐหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชากรในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ดังที่กำลังเกิดขึ้นที่พรมแดนด้านจังหวัดเชียงราย
เป็นลักษณะของ Spillover Effect เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่หนึ่ง สามารถส่งผลกระทบข้ามพรมแดน (transboundary environmental impacts) ขยายวงกว้างไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ติดกันได้
หากนำแนวคิดทางรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศเรื่อง Domino effect of instability มาประกอบการแก้ปัญหาพิบัติภัยเชียงราย เงื่อนไขที่จะมีผลต่อการแก้ปัญหาก็คือ ความมั่นคงและเสถียรภาพของเมียนมา มีส่วนสำคัญมากต่อการเพิ่มและบรรเทาปัญหาดังกล่าว
ชัดเจนว่า ความไม่มั่นคงทางการจัดการสิ่งแวดล้อมในประเทศเพื่อนบ้าน มีผลต่อความมั่นคงในประเทศเรา ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันและกัน
เพื่อนบ้านมั่นคง เราก็มั่นคง...
เพื่อนบ้านไม่มั่นคง จะส่งออกปัญหาต่อเนื่องความไม่มั่นคงนั้นมายังเรา
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







