สิ่งที่ควรจะเกิดมีหลังฤดูฝุ่น 67/68 (ตอน1)

สิ่งที่ควรจะเกิดมีหลังฤดูฝุ่น 67/68 (ตอน1)

ปิดฉากฤดูฝุ่นปีนี้ สถิติโดยรวมดีขึ้น แต่ยังพบจุดอ่อนสำคัญในภาคเกษตร อีสานเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นขนาดใหญ่ การถอดบทเรียนแบบเดิมๆ ไม่เคยนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

KEY

POINTS

  • ภาพรวมสถานการณ์ฝุ่นในไทยปีนี้ สถิติโดยรวมและจำนวนจุดความร้อนลดลงชัดเจน ภาคเหนือมีฝุ่นเกินมาตรฐานน้อยลง การทำเกษตรยังคงเป็นจุดอ่อนใหญ่ที่สุด ภาคอีสานกลายเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นขนาดใหญ่ตั้งแต่ธันวาคมถึงเมษายน
  • แม้พื้นที่ป่าหลายแห่งยกระดับการจัดการได้ผลดี แต่ยังมีพื้นที่ "ช่องโหว่" ที่เกิดไฟป่าซ้ำซาก เช่น พื้นที่ไหม้ดอยเต่า รอยต่อเชียงดาว-ไชยปราการ ป่าแม่ยมในจังหวัดแพร่ และป่าแถบอุตรดิตถ์
  • ประเทศไทยไม่มีวัฒนธรรมการถอดบทเรียนและวางแผนยกระดับเชิงปฏิบัติการอย่างจริงจัง การประชุม AAR (After Action Review) มักเป็นเพียง "อีเวนท์" ไม่ได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขที่เป็นรูปธรรม ทำให้ทุกปีมีปัญหาซ้ำเดิม

 

ฤดูฝุ่นปีนี้ (ต.ค.2567-เม.ย.2568) ปิดฉากลงแล้วเมื่อฝนเริ่มเทลงมา นับจากนี้ผู้เกี่ยวข้องคงจะหยิบสถิติที่ดีกว่าเดิมมาแสดง ภาพรวมการแก้ปัญหาของประเทศไทยดีขึ้นจริง แต่ก็ยังมีหลายจุดที่ยังต้องแก้ไขปรับปรุง ผู้เขียนในฐานะผู้ประสบปัญหาและสนใจวิกฤติฝุ่นควัน ขอเสนอมุมมองความเห็นทั้งหมด 10 ประการ ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนการแก้ปัญหาจากภาคประชาชนในกระบวนการถอดบทเรียนที่จะจัดให้มีขึ้นต่อไป

1. ภาพรวมปัญหาฝุ่นไทยปี 67-68

สถิติขณะนี้ ในภาพรวมดีกว่าเดิมแน่นอน จำนวนจุดความร้อนลดลงชัดเจน สำหรับภาคเหนือที่เคยวิกฤติหนักต่อเนื่อง จำนวนวันสีแดงเกินมาตรฐานของปีนี้ก็ลดลง แสดงว่า เรากดปริมาณฝุ่นลงได้

สถิติของ GISTDA ที่รายงานประจำปี จะมีทั้งจุดความร้อน และรอยไหม้ Burned Scars เป็นดัชนีใหญ่ ที่จริงแล้ว KPI สำคัญที่สุดก็คือ กราฟค่ามลพิษฝุ่นจาก กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ที่จะบ่งบอกว่าสถานการณ์ปีนี้เป็นอย่างไร ในภาพรวมและในเมืองสำคัญๆ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อส่องสถานการณ์ปัญหาฝุ่นนับจากแรกเริ่ม คือ เมื่อฤดูเปลี่ยน เริ่มมีลมหนาวและความกดอากาศสูงราวเดือนตุลาคมเป็นต้นมา มีเหตุการณ์มากมายที่สะท้อนว่า ยังมีปัญหาภาคปฏิบัติที่รอการแก้ไข ภาพรวมสถิติสวยงามก็จริงแต่เมื่อมองลึกลงไปแต่ละเซ็กเมนท์และแต่ละพื้นที่ ที่รอการแก้ไข

2. จุดอ่อนของการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ

ปีนี้เป็นปีที่เราได้เห็นชัดเจนว่ามลพิษฝุ่นควันเป็นปัญหาระดับประเทศ (ยกเว้นภาคใต้) ในช่วงต้นฤดูจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ก็มีจุดแดงเพราะช่วงลมตะวันออกพัดฝุ่นข้ามอ่าวไปถึง ขณะเดียวกันก็ได้เห็นว่าภาคอีสาน เป็นพื้นที่แหล่งกำเนิดฝุ่นขนาดใหญ่และสม่ำเสมอตั้งแต่ธันวาคมถึงเมษายน เกิดมีไฟทุกวัน 

พฤติกรรมการเผาภาคเกษตรปล่อยลามทุ่งทั้งคืน ปกติอีสานลมแรง คนก่อมลพิษไม่โดน เพราะลมหอบมาใส่เหนือล่าง ปีนี้มีช่วงที่อากาศปิด ลมอ่อน ค่าฝุ่นอีสานก็แดงส้มขึ้นมาต่อเนื่องหลายวัน

 

ภาคเกษตรเป็นจุดอ่อนใหญ่ที่สุดในภาพรวมของวิกฤติปัญหา เพราะแทบไม่มีผลสัมฤทธิ์ของการแก้ ยกเว้นแต่การเผาไร่อ้อยที่ใช้กลไกภาคอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพดำเนินการ โจทย์จากนี้คือจะหากลไกระยะยาวที่ยั่งยืน ดำเนินการเองได้ไหม ถ้าไม่มีงบกลางอุดหนุน ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุค คสช. เราแก้ปัญหาแบบโยนเงินทิ้งเป็นหมื่นล้าน ไม่ได้แตะโครงสร้างวิธีผลิต

ส่วนการเผาภาคเกษตรโดยกระทรวงเกษตรฯ เป็นปัญหาที่ต้องจัดการเชิงนโยบายตั้งแต่ ครม. ลงมา เพราะไม่สามารถห้ามประเดี๋ยวประด๋าว เฉพาะหน้าแต่ละฤดูไม่ได้ ต้องแก้เชิงโครงสร้างการผลิตที่ต้องมีเจตจำนงเชิงนโยบายที่ชัดเจน เป็นโจทย์ของ ครม. จากนี้จะยกระดับการผลิตเกษตรให้สะอาดจริงจังแค่ไหน ใครเป็นเจ้าภาพ งบประมาณจากไหนอย่างไร ระยะสั้นระยะยาว

ปีหน้าสามารถมีพื้นที่ไร่ข้าวปลอดเผานำร่องสัก 2 ล้านไร่ จะได้ไหม ?

3. พื้นที่ไฟไหม้ป่าซ้ำซาก

การไหม้ในป่าเป็นแหล่งกำเนิดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ปีนี้ภาพรวมดีขึ้น มีพื้นที่ป่าที่ยกระดับการจัดการได้ผลลัพธ์ดีมาก เช่น ป่าแม่ปิง ป่าขสป.เชียงดาว ป่าออบหลวง ฯลฯ แต่เมื่อมองเจาะลึกลงแต่ละพื้นที่ปัญหาอื่นๆ  ยังมีโจทย์ต้องแก้ไฟป่าซ้ำซากของแต่ละเขตป่า ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่ช่องโหว่ ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก เช่น พื้นที่ไหม้ดอยเต่า ลามหลายวัน พื้นที่ไหม้รอยต่อเชียงดาวไชยปราการตรงปิงโค้งดอยหัวโท

แพร่ - ป่าแม่ยม, อุตรดิตถ์ - ป่าตะวันออก ตามแนวลำน้ำน่าน ไหม้ยาวตั้งแต่ต้นปี, ป่าในลำปางและตาก อีกมากมาย

กรณีเช่นนี้เป็นบทเรียนด้านยุทธการที่มักไม่ปรากฏในระหว่างการถอดบทเรียน ซึ่งรัฐต้องจี้ถามไปยังแต่ละจังหวัด ถอดบทเรียนแล้วจะป้องกันและแก้อย่างไรในปีหน้า

4. AAR ที่ไม่ใช่ Events

ประเทศเราไม่มีวัฒนธรรมการถอดบทเรียน และวางแผนยกระดับเชิงปฏิบัติการจริงจัง เวทีการถอดบทเรียนและจัดทำ AAR ส่วนใหญ่ เป็นแค่อีเวนต์ หลายปีมานี้การถอดบทเรียนปัญหาฝุ่นควันจึงไม่ได้บทเรียนอะไรกลับมา

แม้กระทั่งระดับนโยบาย ก็คือ รัฐบาล ไม่เคยมี (การถอดบทเรียนอุปสรรคและปัญหา) การบัญชาการ/อำนวยการเลย

ประเทศไทยมีมติ ครม. ว่าด้วยฝุ่นทุกปี มีวาระแห่งชาติตั้งแต่ยุครัฐบาลลุงจนมาหมดวาระยุครัฐบาลเศรษฐา รัฐบาลไม่เคยปฏิบัติตามเป้าได้ แต่ไม่เคยประเมินตัวเอง นอกจากไม่ประเมินยังไม่เอามาเป็นบทเรียนอีก

ทุกปีเราจึงเห็นชุดคำสั่ง หนังสือเวียนเดิมๆ คนมีอำนาจตรงกลางจะแสดงความจริงจังด้วยการสั่งการ ห้ามเผาเด็ดขาด ให้เร่งมือ สื่อสารให้สังคมเห็นว่าฉันทำงานแล้ว ปีนี้ รัฐบาลแพทองธาร มีปฏิบัติด้านนโยบายแตกต่างจากเดิม ทั้งยุค คสช. และ ยุครัฐบาลเศรษฐา มีส่วนที่ดีที่ยกระดับขึ้นชัดเจนหลายประการ แต่ก็ยังมีจุดอ่อนบางประการเช่นกัน

การถอดบทเรียนปีนี้ ฝ่ายการเมืองควรต้องหาวิธีสกัดข้อปัญหาจากการดำเนินนโยบาย ออกมาจากระบบที่ไม่ค่อยพูดความจริงต่อหน้า ระบบเรามีลูกเกรงใจเยอะ ทั้งที่จริงปฏิบัติการของหน่วยหลักคือกระทรวงมหาดไทย กับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ก็มีเกลียวไม่ลงร่องกันบ้างก็มี

ในอดีตฝ่ายป่าบางจังหวัดเผาเองจัดการเอง บางป่าเผายาว 4-5 วัน หน้าห้องผู้ว่าถาม ค่อยบอกไปว่า ชิงเผา ... คือนั่นเป็นลูกเกรงใจในอดีตที่เคยเกิด แต่ปีนี้ พอมีทิศทางนโยบายเพื่อไทย และมหาดไทยอยากคุมเข้มชนิดให้ไม่แอะสักเม็ด มีปัญหาหรือข้อแลกเปลี่ยนอะไรบ้าง มันควรต้องปรากฏออกมาเพื่อจะยกระดับการจัดการปีหน้า

5. ใช้ข้อมูล

การถอดบทเรียนที่ผ่านมา ใช้ข้อมูลหลักจาก GISTDA ประกอบกับค่าฝุ่นของ คพ. เป็นสำคัญ ระบบของเรารอสถิติจุดความร้อนกับรอยไหม้ เอาจริงกับตัวเลข KPI สถิติจุดความร้อน ทั้งๆ ที่ พื้นที่ไหม้ (Burned Scars) กับ ค่าเข้มข้นผลกระทบมลพิษฝุ่น สำคัญกว่าในแง่ของพิบัติภัยและขนาดแหล่งกำเนิดมลพิษจริง

ทำให้หน่วยปฏิบัติมองข้ามข้อมูลตัวอื่นๆ ที่อาจมีประโยชน์ในการวางแผน  เช่น พื้นที่เผาไหม้ และจุดความร้อนใน ป่าชุมชน, ป่า ออป., ป่าสงวน ที่ยกให้หน่วยงานดูแล

หน่วยงานใช้ประโยชน์ไม่ขอ หน่วยงานเจ้าของข้อมูลจึงไม่ได้ทำออกมา ข้อมูลการไหม้แยกเซ็กเมนท์การใช้ประโยชน์เหล่านี้ ควรเป็นนโยบายให้มีออกมา ประกอบรายงาน AAR และเพื่อให้หน่วยปฏิบัติจังหวัดวางแผนยกระดับการแก้ไขปัญหาในอนาคต

การถอดบทเรียนปีนี้ ควรจะยกระดับการใช้ฐานข้อมูล เช่น พฤติกรรมของไฟในพื้นที่ซ้ำซากเรื้อรังของแต่ละจังหวัด อาทิ แพร่-ป่าแม่ยมรอยต่องาว /ลำพูน - โซนกลางบ้านโฮ่ง ปีนี้แปลก เกิดมาก เกิดอย่างไร ใครรับผิดชอบ พื้นที่มีจุดอ่อนไม่มีเจ้าภาพหรือไม่ / เชียงใหม่ - พฤติกรรมไฟดอยเต่าและป่ารอยต่อลำพูน บ้านโฮ่ง ย้อนหลัง  เป็นต้น

ยกระดับมิติการมองปัญหา โดยให้กรมอุตุนิยมวิทยาสรุปลักษณะลม ทิศทางลมที่ผ่านมา ที่มีผลต่อวิกฤตมลพิษ กรุงเทพฯ เจอะลมหนาวกำลังอ่อนจะแดงส้มขึ้นมาทันที ภาคเหนือพอลมเปลี่ยนกลางมีนาคม ก็แดงขึ้น ทั้งที่จำนวนไฟมีน้อย เกิดอะไรขึ้น และที่สำคัญคือ ลมที่พัดจากประเทศเพื่อนบ้าน ปีนี้มีพฤติกรรมทิศทางขนาดอย่างไร มีผลแค่ไหน

..นี่เป็นเพียงข้อเสนอแนะบางส่วนเท่านั้น ติดตามภาคต่ออีก 5 ข้อที่เหลือได้ใน "สิ่งที่ควรจะเกิดมีหลังฤดูฝุ่น 67/68 (ตอน 2)" เร็วๆ นี้ครับ

 

 

..........................................

เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ