ทำลายสถิติท่องเที่ยว 35 ล้านยังไม่พอ ญี่ปุ่นจะคว้าให้ถึง 60 ล้านคน ในปี 2030

ประเทศญี่ปุ่นเร่งรัดความเติบโตของตลาดการท่องเที่ยวได้อย่างน่าทึ่ง ปี 2024 ประเทศญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเดินทางสูงสุด 35 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
KEY
POINTS
- ปี 2024 ประเทศญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเดินทางสูงสุด 35 ล้านคน เป็นสถิติใหม่ ทำยอดผู้เดินทางเข้าประเทศได้เทียบเคียงประเทศมหาอำนาจด้านการท่องเที่ยวหลายๆ ประเทศ
- ประเทศญี่ปุ่นเร่งรัดความเติบโตของตลาดการท่องเที่ยวได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติและวิถีวัฒนธรรมเป็นจุดแข็งอยู่แล้ว ยังมียุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมกันอย่างเป็นระบบ
- ในระยะยาว การกระจายพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของญี่ปุ่นนั้น น่าเชื่อว่าจะมีศักยภาพพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ จากเมืองรอง กลายเป็นจุดสนใจใหม่ได้อย่างแน่นอน
ปี 2024 ประเทศญี่ปุ่นมีนักท่องเที่ยวเดินทางสูงสุด 35 ล้านคน เป็นสถิติใหม่ ซึ่งหากจะนับเป็นความสำเร็จของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศนี้อย่างแท้จริง เพราะญี่ปุ่นเพิ่งมีนโยบายเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยว
ก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นปิดตัวเอง ผู้คนรักสงบและไม่เคยชินกับคนแปลกหน้า แถมมีอุปสรรคด้านภาษาและวัฒนธรรม การจะขอวีซ่าค่อนข้างยุ่งยาก ตอนที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดการท่องเที่ยวภายใต้นโยบาย Cool Japan Strategies 2012 (2555) นักท่องเที่ยวไทยก็เป็นตลาดเป้าหมายกลุ่มแรกๆ โดยคนไทยได้ฟรีวีซ่าเข้าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2556 นับนิ้วจนถึงบัดนี้ ญี่ปุ่นก้าวเดินในเส้นทางเปิดการท่องเที่ยวไม่ถึง 15 ปี
แต่สามารถทำยอดผู้เดินทางเข้าประเทศได้เทียบเคียงประเทศมหาอำนาจด้านการท่องเที่ยว รวมถึงไทยเราในปีนี้ ก็มียอดนักท่องเที่ยวใกล้เคียงกับญี่ปุ่น แต่อย่าลืมว่า ไทยเรานั้นเปิดดปีการท่องเที่ยวไทยมา 4 ทศวรรษแล้ว ตั้งแต่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี อัลบั้มเวลคัมทูไทยแลนด์ของคาราบาวโด่งดังเมื่อพ.ศ. 2530
ประเทศญี่ปุ่นเร่งรัดความเติบโตของตลาดการท่องเที่ยวได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติและวิถีวัฒนธรรมเป็นจุดแข็งอยู่แล้ว ยังผนวกเสริมด้วยยุทธศาสตร์เพื่อส่งเสริมและดึงดูดอย่างเป็นระบบ Cool Japan Strategies เป็นยุทธศาสตร์จัดการดึงศักยภาพ soft power ด้านต่างๆ ของญี่ปุ่นขึ้นมาบริหารจัดการอย่างเป็นระบบจัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ METI ที่พบว่าอุตสาหกรรมจากวัฒนธรรม 5 กลุ่ม คือ การ์ตูน อาหาร บริการส่งสินค้าถึงที่ โรงแรมแบบเรียวกัง และศิลปะหัตถกรรม Anime/Manga , Food, Delivery Service, Traditional Hotel (Ryokan) และ Traditional Art and Craft
ถ้าจำกันได้ อดีตนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ แต่งกายชุดการ์ตูนมาริโอ้ ในพิธีปิดโอลิมปิคเกมริโอเดอจาไนโร เพื่อโปรโมทโอลิมปิค 2020 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ การเป็นเจ้าภาพกีฬาและการนำเสนอภาพลักษณ์ญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งในแผนการยุทธศาสตร์การดึงดูดท่องเที่ยว
ในตอนนั้นญี่ปุ่นเพิ่งจะเริ่มส่งเสริมการท่องเที่ยวแต่ยังแค่เริ่มขยับก้าว เขามีเป้าหมายใหญ่จะดันนักท่องเที่ยวเข้าประเทศให้ได้ 20 ล้านคนในปีโอลิมปิค 2020 ปรากฏว่าเขา ทำได้ทะลุเป้า ก่อนที่จะถึงปีเป้าหมายด้วยซ้ำไป
นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเคยแตะ 31 ล้านคน และทำนิวไฮ 35 ล้านคนในปี 2024
นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นแตะ 31 ล้านคนก่อนโควิด-19 และกลับมาทำนิวไฮ 35 ล้านคนในปี 2024 ดังที่ทราบกัน...
ไม่เพียงเท่านั้น ในระหว่างการแถลงข่าวของ Japan Tourism Agency เมื่อ กลางธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา ได้มีการถามถึงเป้าหมายของญี่ปุ่นจะดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกให้ได้ 60 ล้านคน ภายในปี 2030 โดยเวลานี้หน่วยงานหลักคือ Japan Tourism Agency และ JNTO กำลังเขียนแผนยุทธศาสตร์ลงรายละเอียดในตลาดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 23 ประเทศหลัก
นักข่าวถามต่อ มั่นใจแค่ไหน ที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น มร.ฮิกาวะ กรรมการผู้แถลงข่าวตอบว่า มันเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานมาก แต่เมื่อย้อนกลับไปดูว่าเราผ่านการตั้งเป้าแบบนี้และก็สำเร็จมาโดยลำดับ อ่านจากเวอร์ชั่นคำแปลภาษาอังกฤษชัดเจนว่า ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้พอใจแค่ยอด 35 ล้านคน/ปี แค่นี้ แต่มองไกลไปถึง 60 ล้านคนแล้ว นั่นคือ จะขยับเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัวให้ได้ภายในเวลา 6 ปีจากนี้ !!
“It is a fairly high target, but I think it is possible. In the past, when only about 5 million people were coming, we set a target of 10 million people, and we actually achieved it. After that, the goals of 40 million and 60 million were set, and we are now approaching 40 million. It is a very ambitious goal, but I personally think that if we all work together, we can reach 60 million. - Commissioner Hikawa, December18,2024
การที่ญี่ปุ่นมองเห็นตัวเลข 60 ล้านคน ก็ต้องมองเห็นความสามารถรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวมหาศาลเฉลี่ยเดือนละ 5 ล้านคนพร้อมกันด้วย ขณะนี้หัวเมืองและจังหวัดต่างๆ กำลังแข่งขันกันสร้างพื้นที่ของตัวเองให้เป็นตลาดท่องเที่ยวรับต่างชาติ แนวโน้มจากนี้ไปเป้าหมายปลายทางหลักจะไม่ใช่แต่เมืองใหญ่ ภูมิภาคเดิมๆ อย่าง เขตคันโต/รอบภูเขาไฟฟูจิ/เขตคันไซ/ หรือฮอกไกโด เท่านั้น การเร่งรัดการตลาดของเมืองรองทำกันอย่างมีแบบแผน มีแผนทำการตลาดโดยตรง เช่น บางเมืองจัดทำเว็บไซต์หลากภาษาและใช้โซเชียลมีเดียดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวชาติเป้าหมายโดยตรงด้วยตนเอง
การบริหารจัดการกระจายนักท่องเที่ยวและจัดการผลกระทบ ก็เป็นสิ่งที่ญี่ปุ่นกำลังทำพร้อมๆ กับเป้าหมาย 60 ล้านคน
สังคมญี่ปุ่นปรับตัวเองเพื่อรับการท่องเที่ยวต่างชาติมาโดยลำดับ เช่น การอาบน้ำห้องน้ำสาธารณะดั้งเดิม สังคมญี่ปุ่นจะห้ามผู้ที่สักร่างกายเข้าไปใช้ โดยนัยของสังคมญี่ปุ่นผู้ที่สักร่างกายคือแก๊งยากูซ่า ป้องกันการใช้พื้นที่ร่วมกับคนทั่วไป แต่เมื่อมียุทธศาสตร์ขายวัฒนธรรมการอาบน้ำออนเซนให้นักท่องเที่ยว ก็มีสถานออนเซนที่เปิดรับนักท่องเที่ยวมีรอยสักได้ด้วย เป็นต้น
แต่ก็นั่นล่ะ ปริมาณของผู้มาเยือนในบางจุดมันมากจนล้นจริงๆ และต้องยอมรับว่านักท่องเที่ยวมากๆ ก็ก่อปัญหาให้กับคนท้องถิ่น ขนาดมีการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อว่า จำนวนที่ล้นเกินของนักท่องเที่ยว ก็คือ มลพิษจากการท่องเที่ยวนั่นเอง
tourism pollution =「観光公害」เป็นประเด็นที่เผยแพร่ในสื่อสังคมอยู่ไม่น้อย
観光公害」ศัพท์มลพิษจากการท่องเที่ยว ปรากฏอยู่ในเสิร์ชเอนจิ้น อยู่ในวิกิพีเดีย และบทความมากมายในญี่ปุ่น กดดันให้รัฐต้องระมัดระวังในการบริหารจัดการ เงินก็อยากได้ จำนวนก็อยากเพิ่ม แต่ต้องระวังผลกระทบ มาตรการหลายอย่างได้ถูกนำมาใช้เพื่อลดปริมาณและการกระจุกตัวเช่น ค่าเข้าชมราคาสูงขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ และเขตหวงห้ามไม่ให้เข้าไปรบกวนชีวิตประจำวันของประชาชนเจ้าถิ่น
ในระยะยาว การกระจายพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวใหม่ (เทียบกับประเทศไทยคือเมืองรอง) ที่ญี่ปุ่นเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก และน่าเชื่อว่าเขามีศักยภาพจะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ จากเมืองรองกลายเป็นจุดสนใจใหม่ได้อย่างแน่นอน เพราะญี่ปุ่นร่ำรวยในทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นและเรื่องราวเฉพาะเป็นพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว
Japan Tourism Agency เพิ่งจัดทำชุดสื่อสารนักท่องเที่ยวแบบใหม่ รณรงค์พฤติกรรมท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและลดบรรเทาผลกระทบต่อสังคม เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Travel Etiquette for the Future" และป้ายสัญลักษณ์เครื่องหมายคำเตือนชุดใหม่ ที่ช่วยบรรเทาผลกระทบทางสังคมของเจ้าบ้าน
เช่น สัญลักษณ์ห้ามเข้าไปในเขตรโหฐานพื้นที่ส่วนตัว สัญลักษณ์ให้ระวังอันตรายขณะถ่ายรูปเซลฟี่ เพราะมีกรณีที่นักท่องเที่ยวสนใจแต่ถ่ายรูปบนถนนโดยไม่ระวังรถยนต์เป็นต้น
อันที่จริงประเทศไทยเราก็เป็นหนึ่งในหัวแถวประเทศเป้าหมายปลายทางของการท่องเที่ยวโลก หากมองในแง่ของการแข่งขันแล้วไซร้ ญี่ปุ่นก็คือคู่แข่งที่น่ากลัวยิ่งเพราะใช้เวลาเพียง 15 ปีจากยอดนักท่องเที่ยวไม่ถึง 5 ล้านคน พรวดมาแตะ 35 ล้านคน ได้สูสีกับชาติที่เชี่ยวชาญและเปิดตลาดการท่องเที่ยวมาก่อน แถมยังตั้งเป้าแบบทะเยอทะยานมองเป้าหมายไปที่ 60 ล้านคนแล้ว
เกิดมีคำถามในใจขึ้นมาทันที... อะไรที่ญี่ปุ่นทำได้ และเรายังไม่ได้ทำ ?!!