ผลักองค์กรให้เดินหน้า...อีกหนึ่งความท้าทายในระบบราชการไทย

องค์กรจำนวนมากในระบบราชการไทยถูกออกแบบให้มีเป้าหมายที่ดีงาม แต่การจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายขององค์กรนั้นๆ เพียงอย่างเดียว
KEY
POINTS
- ดร.วิษณุ วงศ์สินศิริกุล เลขาธิการ กขค.นำเสนอแนวทางการผลักองค์กรให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะองค์กรที่มีภารกิจในการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
- องค์กรต้องพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องด้วยความรู้ที่ทันสมัย และสร้างกลไกให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้ทำงานร่วมกัน
- การสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติงานเป็นสิ่งสำคัญ
หากแต่ยังขึ้นกับกลไกและบุคลากรที่ขับเคลื่อนภายในองค์กรด้วย โดยเฉพาะองค์กรที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ยิ่งต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งทั้งในเชิงนโยบายและพลวัตของโลกธุรกิจ
องค์กรยุคใหม่ที่มีภารกิจในการสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ อาจไม่สามารถพึ่งพาเพียงประสบการณ์ในอดีตที่เคยมีมาได้ หากแต่ต้องพึ่งพาความรู้ใหม่ ความสามารถในการเชื่อมโยงบริบทโลก และความกล้าในการยอมรับว่า โลกธุรกิจกำลังปรับเปลี่ยนเร็วกว่าวงจรราชการหลายช่วงตัว
หลายนโยบายถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยมีเจตนาที่ชัดเจน ที่ต้องการให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในตลาด แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่ที่ว่า “แล้วใครหรือกลุ่มบุคคลใดคือตัวจักรสำคัญในการผลักดันให้นโยบายเหล่านั้นสามารถถูกนำไปใช้ได้จริง?”
อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติงานในระดับต้นมักถูกมองว่าเป็นเพียงผู้รับคำสั่ง แต่ในความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในทางกลับกัน ผู้ปฏิบัติงานกลับกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้นโยบายถูกนำมาปฏิบัติได้จริง
ดังนั้น การที่องค์กรจะพัฒนาและเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน จำต้องมีการสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
เช่น จัดทำหลักสูตรที่เหมาะสมกับยุคสมัย ในลักษณะภาคบังคับประจำปีสำหรับผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ โดยต้องเน้นทั้งความรู้ด้านเทคโนโลยี ธุรกิจรูปแบบใหม่ พฤติกรรมผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
สร้างกลไกให้มีกิจกรรมภายในที่ต้องจับคู่ปฏิบัติการร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองซึ่งกันและกัน จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเสนอข้อสังเกตต่อการดำเนินนโยบายได้จริง โดยไม่เสี่ยงต่ออคติหรือการเพิกเฉย เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายหรือทิศทางขององค์กรจำต้องมีแนวคิดร่วมสมัย ซึ่งมิอาจปฏิเสธว่า ในแต่ละองค์กรนั้นอาจไม่สามารถดำเนินการก้าวต่อไปได้ด้วยแผนยุทธศาสตร์เพียงอย่างเดียว หากกลไกความสัมพันธ์ภายในยังเต็มไปด้วยช่องว่าง และอุปสรรคต่างๆ
การพัฒนาองค์กรเชิงระบบ อาจจำต้องเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ ความเข้าใจและความไว้ใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญ
ความไว้ใจซึ่งกันและกันที่ว่าคือ ความไว้ใจที่จะไม่ใช้ตำแหน่งหรือบทบาทหน้าที่เป็นเกราะกำบังในการสร้างความสัมพันธ์ แต่จะใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปิดทางให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น
เพื่อการปรึกษาหารือร่วมกัน รวมไปถึงการสอบทานได้ ที่สำคัญต้องมีพื้นที่กลางทางความคิดที่คนต่างรุ่น ต่างบทบาทสามารถพูดคุย แสดงความคิดเห็นได้โดยไม่มีการลำดับความสำคัญของเสียงตามตำแหน่งหน้าที่
อาจกล่าวได้ว่า การผลักดันให้องค์กรเดินหน้าอย่างแท้จริง อาจไม่ใช่การเร่งสร้างภาพลักษณ์ใหม่ หรือการผลักดันนโยบายต่างๆ ให้เกิดขึ้นจริงอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันควร หากแต่แท้จริงแล้ว การหยุดนิ่งหรือแม้แต่การยอมถอยหลังเพื่อค้นหาภายในองค์กรอย่างซื่อสัตย์ ซื่อตรง ว่าส่วนใดกำลังเป็นปัญหา เป็นอุปสรรค เป็นแรงต้านที่ซ่อนตัวอยู่ ต่อการพัฒนาองค์กร
รวมไปถึงการสำรวจบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบ้าง ที่ยังไม่ได้ถูกชักชวนให้ร่วมกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อร่วมปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรอย่างแท้จริง ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ทางเลือกที่ดีและน่าสนใจยิ่ง
ดังนั้น การผลักองค์กรให้เดินหน้า คงมิได้หมายความถึง ต้องเร่งทุกอย่างให้เร็วขึ้น แต่อาจหมายถึงการกล้าหยุดเพื่อตั้งคำถาม และหาคำตอบร่วมกันอย่างไม่กลัวความจริง การถอยหลังเพื่อเดินหน้า อาจมิใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป.






