กลัวโรคสมองเสื่อม (1)

กลัวโรคสมองเสื่อม (1)

เคยมีการสำรวจความเห็นของประชาชนชาวอังกฤษเมื่อปี 2561 พบว่า คนอายุ 35-44 ปี กลัวเป็นโรคมะเร็งมากถึง 42% สูงกว่าความกลัวเป็นโรคสมองเสื่อมที่มีสัดส่วนเพียง 25% ซึ่งน่าจะตรงกับข้อเท็จจริงอย่างมาก เพราะในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่า คนที่อายุน้อยมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้หญิง (จากมะเร็งเต้านมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก) และมะเร็งในลำไส้ใหญ่ที่พบมากขึ้นในผู้ชาย

ซึ่งสาเหตุสำคัญของการทำให้เกิดมะเร็งนั้น เข้าใจว่า เกิดจากการดื่มสุรา และการนิยมบริโภคอาหารปรุงแต่งสูง (ultra-processed foods) ตามที่ผมได้เขียนถึงไปแล้วในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะเดียวกันการเป็นโรคสมองเสื่อมนั้น พบน้อยมากในคนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี

แต่สำหรับคนที่อายุใกล้ 68 ปีเช่นผม จะกลัวโรคสมองเสื่อมมากขึ้นอย่างมาก ดังที่การสำรวจข้างต้นพบว่า คนกลุ่มอายุ 65 ปีหรือมากกว่านั้น 49% กลัวโรคสมองเสื่อม ในขณะที่ความกลัวโรคมะเร็งลดลงเหลือเพียง 19%

ทั้งนี้ ตัวเลขคนที่เป็นโรคสมองเสื่อม แบ่งตามกลุ่มอายุ จากงานวิจัยที่สรุปงานวิจัย (Meta-Analysis) ที่ได้ประเมินจำนวนผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมจาก 43 ประเทศ โดยแบ่งตามกลุ่มอายุและเพศ

กลัวโรคสมองเสื่อม (1)

จะเห็นจากตัวเลขข้างต้นว่า ความเสี่ยงการเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่าตัวทุกๆ 5 ปีหลังจากอายุ 60-64 ปี เช่น อายุ 60-64 ปี ผู้หญิงเป็นโรคสมองเสื่อม 8.5 คน (จาก 1,000 คน) แต่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 16.1 คนในกลุ่มอายุ 65-69 ปี สำหรับผู้ชายตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่าคือ 5.1 คนสำหรับกลุ่มอายุ 60- 64 ปี เพิ่มขึ้นมาเป็น 15.2 คน เมื่ออายุ 65-69 ปี เป็นต้น

นอกจากนั้นก็ยังมีความชัดเจนอีกด้วยว่า ผู้หญิงเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าผู้ชายในทุกกลุ่มอายุ ดังนั้นคำอธิบายว่า สาเหตุที่ผู้หญิงเป็นโรคสมองเสื่อม เพราะอายุยืนกว่าผู้ชายจึงไม่น่าจะเป็นจริง เพราะความแตกต่างกันนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่มีความแตกต่างกันในทุกกลุ่มผู้สูงอายุดังที่กล่าวข้างต้น

โรคสมองเสื่อมนั้น “น่ากลัว” เพราะปัจจุบันยังไม่มียาใดรักษาโรคนี้ได้ (มียาที่ชะลอภาวะสมองเสื่อมได้เพียง 6-9 เดือน แต่ราคาแพงเหยียบ 1 ล้านบาท) ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เป็นโรคสมองเสื่อม จึงเป็นแนวทางหลักในการหลีกเลี่ยงภาวะสมองเสื่อม ซึ่งผมจึงได้พยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อตอบคำถามว่า จะทำอย่างไรจึงจะเลี่ยงการเป็นโรคสมองเสื่อมได้มากที่สุด ซึ่งผมได้คำตอบจากการอ่านงานวิจัยต่างๆดังนี้ แต่ยังไม่ใช่คำตอบที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในอนาคต เพราะวิวัฒนาการด้านการรักษาและข้อมูลทางการวิจัยต่างๆนั้น เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

1.การเป็นโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุกลางคน หากมีความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุกลางคน ความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมตอนสูงอายุ จะสูงกว่าคนที่ความดันโลหิตปกติตอนวัยกลางคนประมาณ 1 เท่าตัว ความดันโลหิตสูงนั้นย่อมทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดสมองตีบตันอีกด้วย (ซึ่งเรื่องหลังนี้หากเป็น stroke ย่อมจะทำความเสียหายอย่างมากกับสมองโดยตรง) กล่าวโดยสรุปคือ หากสุขภาพของหัวใจแข็งแรง สุขภาพของสมองก็จะแข็งแรงไปด้วย (What is good for the heart is good for the brain)

2.การเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 (กินน้ำตาลมากเกินไป จนระบบของร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ที่ระดับปกติไม่ได้) จะทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นประมาณ 50-100% ผู้เชี่ยวชาญบางคน เรียกโรคสมองเสื่อมว่าเป็น Type 3 diabetes (โรคเบาหวานประเภท 3) กล่าวคือ ภาวะเบาหวานทำลายเส้นเลือดโดยรวม และในส่วนหนึ่งทำให้เกิดภาวะที่สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ทำให้เซลล์ประสาทเสียหาย 

ความเสียงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมเมื่อสูงวัยจะเพิ่มขึ้น หากเริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่อายุยังน้อย และยังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเป็นโรคเบาหวานหรือระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินเกณฑ์อีกด้วย

3.โรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด ในกลุ่มของโรคไม่ติดต่อที่เป็นกันอย่างแพร่หลาย ประเด็นคือ การเป็นโรคหัวใจยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมประมาณ 60-80%

4.การสูญเสียการได้ยินและการเป็นโรคอ้วนตั้งแต่อายุกลางคน ก็จะเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคสมองเสื่อมได้มากถึง 60- 90%

และแน่นอนว่า เมื่อผมถาม Claude AI เกี่ยวกับความสำคัญของการออกกำลังกายในการลดความเสื่ยงของการเป็นโรคสมองเสื่อม โดยให้อ้างงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและทันสมัย ผมก็ได้คำตอบดังนี้ “การวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ที่ตีพิมพ์ใน The Lancet (2020) พบว่าการขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย (นั่งๆ นอนๆ) เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยพฤติกรรมเนือยนิ่ง (นั่งๆ นอนๆ) มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมประมาณ 40% เมื่อเทียบกับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ”

จึงจะเห็นได้ว่า แม้การเป็นโรคสมองเสื่อมจะเริ่มเห็นกันตั้งแต่อายุ 60-65 ปีเป็นต้นไป และคนสูงอายุเช่นผมก็จะเริ่มกลัวโรคนี้ตอนอายุใกล้วัยเกษียณ แต่การดูแลสุขภาพไม่ให้เสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมนั้น ควรต้องรีบทำตั้งแต่อายุกลางคนเป็นอย่างช้าครับ