วันผู้สูงอายุโลก

จากการสำรวจพบว่าผู้เกษียณจำนวนมากรู้สึกว่าต้องพึ่งพาตนเองและอาจไม่สามารถหยุดทำงานหาเลี้ยงชีพได้ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะมีเงินเพียงพอสำหรับดูแลตนเองในอนาคต
KEY
POINTS
- วันผู้สูงอายุโลกตรงกับวันที่ 21 สิงหาคมของทุกปี เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 1,700 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2597
- บทความได้เรียนรู้จากบทเรียนของผู้เกษียณอายุที่มักนึกเสียใจใน 2 ด้านหลัก คือ ด้านการเงิน (ออมไม่พอ, ไม่ได้วางแผนค่าใช้จ่ายสุขภาพระยะยาว) และด้านชีวิต (ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพ, ใช้เวลากับครอบครัวน้อยไป, มีงานอดิเรกไม่เพียงพอ)
- จากการสำรวจพบว่าผู้เกษียณจำนวนมากรู้สึกว่าต้องพึ่งพาตนเองและอาจไม่สามารถหยุดทำงานหาเลี้ยงชีพได้ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะมีเงินเพียงพอสำหรับดูแลตนเองในอนาคต
- ผู้เขียนให้คำแนะนำแก่ผู้สูงวัยว่าไม่ควรหยุดทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานอาสาสมัครหรืองานที่สร้างรายได้ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจกระฉับกระเฉงและไม่รู้สึกเหงา
- คำแนะนำอื่นๆ สำหรับผู้สูงวัย ได้แก่ การรักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและใจ, ทำในสิ่งที่ชอบ, เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่ทิ้งชีวิตสังคม, กินอาหารที่มีประโยชน์ และวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงวัยเกษียณให้สอดคล้องกับสถานะการเงิน
วันผู้สูงอายุโลกตรงกับวันที่ 21 สิงหาคมของทุกปี โดยมีการริเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1991 หรือ ปี พ.ศ. 2534 เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงปัจจัยและประเด็นที่มีผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ให้เป็นวันแห่งการรับรู้และรับทราบถึงการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในสังคม (ที่มา : วิกกิพีเดีย)
ในปี ค.ศ. 2024 (พ.ศ.2567) ที่ผ่านมา ประชากรของโลกที่มีวัยสูงกว่า 65 ปี มีอยู่ประมาณ 830 ล้านคน ในอีก 29 ปีข้างหน้า คือในปี 2054 (พ.ศ. 2597) ข้อมูลจาก World Population Prospects 2024 ขององค์การสหประชาชาติคาดว่า ประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี จะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว คือจะมีจำนวนสูงถึง 1,700 ล้านคนทั่วโลก และอายุคาดการณ์เฉลี่ยของประชากรโลกในปี 2054 คือ 77.4 ปี (เทียบกับ 73.3 ปี ในปี 2024)
จากข้อมูลของปี 2023 ประเทศที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัย (อายุ 65 ปีขึ้นไป) เป็นสัดส่วนสูงที่สุดคือ โมนาโก มีสัดส่วนประชากรสูงวัย 36.8% (ซึ่งเป็นประชากรสูงวัยที่มีความมั่งคั่งสูง) ถัดมาคือญี่ปุ่น มีสัดส่วน 30% และขอยกตัวอย่างประเทศอื่นๆ เช่น อิตาลี 25.1% โปรตุเกส 24.9% ฟินแลนด์ 24.2% เยอรมนี กับฮ่องกงเท่ากันคือ 23.7%ฝรั่งเศส 22.5% สเปน 21.6% เดนมาร์กและ สเปนเท่ากันคือ 21.1%
ที่น่าสนใจคือ ประชากรของโลกที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป ในปี 2023 มี 549,770 คน และในจำนวนนี้ อยู่ในประเทศไทย 12,513 คน หรือ 2.27% ของโลกเลยค่ะ
ในปี 2022 ประชากรของโลกมีเกิดเพิ่ม 132.48 ล้านคน มีเสียชีวิตไป 62.28 ล้านคน ดังนั้น จำนวนประชากรของโลกจึงยังคงเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มจนถึงปี 2083 หรืออีก 58 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดการณ์ว่า จำนวนการเกิดกับการตายจะใกล้เคียงกัน คือ เกิด 118.8 ล้านคน และมีการเสียชีวิต 118.27 ล้านคน จำนวนประชากรรวมจะเท่ากับ 10,300 ล้านคนหลังจากนั้น คาดว่าจำนวนการตายจะแซงหน้าจำนวนการเกิด ซึ่งหมายความว่าจำนวนประชากรของโลกจะเริ่มลดลง
เรามาเรียนรู้จากบทเรียนด้านลบของคนในวัยก่อนหน้าเราดีกว่าค่ะ เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น หรือหาทางบรรเทาความเสียหายหากจะเกิดขึ้นจริง
จากการหาข้อมูลและและให้เอไอช่วยหาด้วย พบว่าสิ่งที่คนเกษียณในโลกตะวันตกส่วนใหญ่ นึกเสียใจเมื่อเกษียณแล้ว มีสองด้านหลักๆ คือด้านการเงิน กับ ด้านชีวิตและสุขภาพ
สำหรับด้านการเงิน ส่วนใหญ่จะเสียใจที่เก็บเงินออมไม่พอ เกษียณเร็วเกินไป ออกจากระบบประกันสังคมเร็วเกินไป และไม่ได้วางแผนสำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพระยะยาว นอกจากนั้น จากการสำรวจของหลายสำนัก พบว่าหลายคนประเมินอายุขัยของตัวเองน้อยเกินไป ประเมินอัตราเงินเฟ้อต่ำเกินไป หวังพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐสูงเกินไป และไม่ได้สนใจการลงทุนเท่าที่ควร รวมถึงกลัวความเสี่ยงในการลงทุนมากเกินไป
ด้านชีวิตและสุขภาพ ส่วนใหญ่เสียใจที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพให้มากกว่านี้ ไม่ได้วางแผนรักษากำลัง ความยืดหยุ่น และการพึ่งพาตัวเองเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังเสียใจที่ใช้เวลากับครอบครัวและคนใกล้ชิดน้อยเกินไป เสียดายที่ไม่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้มากกว่านี้ในช่วงที่ทำงาน เสียดายที่ไม่ได้ท่องเที่ยวให้เพียงพอในตอนอายุยังน้อยและแข็งแรง และเสียดายที่มีกิจกรรม งานสังคมหรืองานอดิเรก น้อยเกินไป ทำให้ตอนเกษียณ ไม่มีอะไรมาเติมเต็มเวลาว่างที่มีอยู่
ส่วนด้านอื่นๆทั่วไปนั้น ผู้สูงวัยนึกเสียใจที่ไม่ได้เตรียมปรับอารมณ์ให้พร้อมสำหรับวัยเกษียณ รวมถึงไม่ได้พูดคุยกับคู่สมรสเรื่องแผนเกษียณด้วย
จากการสำรวจล่าสุดในปีที่แล้วที่บริษัทจัดการลงทุน Natixis สำรวจผู้เกษียณอายุในออสเตรเลีย พบว่าผู้เกษียณจำนวนมากทำใจแล้วว่า ตนคงต้องพึ่งตนเองในเรื่องการเกษียณ และจำนวนมากทีเดียวที่รู้สึกว่าคงไม่สามารถหยุดทำงานหาเลี้ยงชีพได้ ต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีเงินเพียงพอที่จะดูแลตนเองหรือไม่หากไม่มีรายได้จากการทำงาน
ขอให้คำแนะนำกว้างๆกับผู้สูงวัยในวันนี้ดังนี้ค่ะ
1. ไม่หยุดทำงาน : หากมีสินทรัพย์และประมาณการรายได้ในอนาคตเพียงพอที่จะดูแลตนเองและคู่สมรสแล้ว ก็ทำงานที่ไม่มีค่าตอบแทน หรืองานที่อยากทำ เช่น งานอาสาสมัคร งานสอน งานโค้ช ให้คำแนะนำแก่คนรุ่นต่อๆไป แต่หากยังมีสินทรัพย์และประมาณการรายได้ในอนาคตไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองและคู่สมรส ก็ยิ่งต้องทำงานเพื่อหารายได้ต่อไป เพราะการทำงานทำให้ไม่เหงา และทำให้ไม่ว่างจนเกินไปค่ะ
2. รักษาสุขภาพให้ดี ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต เพราะจะทำให้เราสนุกกับการอยู่ในโลกนี้ต่อไป แม้ร่างกายจะทำงานไม่เหมือนเดิม แม้ความเร็วในการทำสิ่งต่าง ความชัดในการมองเห็น จะลดลง แต่ความสนุก สดชื่นยังคงมีอยู่
3. ทำในสิ่งที่ชอบทำ และอยากทำ : หลายคนเปลี่ยนงานอดิเรกเป็นรายได้ ซึ่งนอกจากจะสนุกแล้ว ยังช่วยให้กระเป๋าฟูขึ้น
4. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และไม่ทิ้งชีวิตทางสังคม : ไม่ว่าจะเป็นการเรียนด้วยตนเอง หรือไปเข้าชั้นเรียน การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆช่วยพัฒนาสมอง ช่วยให้เราสดชื่น และเราอาจจะได้เพื่อนใหม่ๆด้วย การมีชีวิตทางสังคมที่ดี ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนข้อมูล เรื่องราว ประสบการณ์ ความทุกข์ ความสุข กับผู้อื่น ที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเราลำบากอยู่ลำพังคนเดียว คนอื่นก็มีช่วงเวลาที่ลำบาก ซึ่งอาจจะมากกว่าเราด้วย
5. กินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ : ต้องได้โปรตีนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ต้องได้วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ หลากหลาย เพราะฉะนั้น ต้องรักษาฟันให้ดีและแข็งแรง
6. วางแผนการเกษียณและทบทวนแผนเป็นช่วงๆ เช่น อายุ 60-70 ปี จะใช้เวลาไปกับการท่องเที่ยวในที่ที่อยากไป และการอาสาช่วยเหลือผู้อื่น อายุ 70-80 ปี จะดูสารคดี ภาพยนตร์ และซีรีส์ที่ชื่นชอบ หรือดูเรื่องใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีโอกาสดู และหากยังเที่ยวไหว ก็ไปเที่ยวต่อ อายุ 80-90 ปี จะใช้ชีวิตในโลกธรรมมากขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ควรปรับให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินด้วย
ขอให้ผู้สูงวัยทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถจัดเวลาทำให้สิ่งที่ชอบและอยากทำ มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่อิสระค่ะ







