อุบัติเหตุบนถนนแก้ไม่ได้เพราะไม่วางแผนแก้สำนึกประมาท

น่าพิศวงว่าประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศระดับกลางในโลก ทั้งขนาดของพื้นที่ ประชากรและความเจริญ กลับมีสถิติอุบัติเหตุสูงติดระดับโลกหลายสิบปีอย่างที่แก้ไม่ได้
การรณรงค์ต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ผล คนเจ็บคนตายโดยไม่จำเป็น พาหนะพังเสียหายโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า สร้างความเดือดร้อนต่อคนอื่น
ผู้ขับขี่ผิดวินัยจราจรปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติ ทางการต้องหมดเงินไปกับการรักษาพยาบาลจากผลที่เกิดขึ้นบนท้องถนนนี้ในแต่ละปีอย่างมหาศาล
สิ่งเหล่านี้ทำไมเกิดขึ้นซ้ำซาก ทั้งที่มองอย่างละเอียดลงไปในแต่ละเคสแล้ว ก็จะพบว่าเกือบทั้งหมดเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ ซึ่งเรื่องแบบนี้มันควรจะแก้ได้โดยไม่ยากนักไม่ใช่หรือ หรือว่า DNA ของคนไทยมีความผิดปกติในเรื่องนี้
การรณรงค์เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนของไทยอาจให้น้ำหนักผิดด้านไป เรามักจะมุ่งเป้าไปที่การ “เมาไม่ขับ” การประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ มุ่งเน้นไปในเรื่องนี้ แต่ปัญหาที่หนักที่สุดของอุบัติเหตุนั้นแท้จริงแล้ว อยู่ที่ “การขับรถเร็วจนเกินไป” ต่างหาก
สำหรับเรื่องเมาไม่ขับนั้นก็ถูกอยู่ที่ต้องประชาสัมพันธ์กันอย่างเข้มข้น บังคับเป่าจริง ตรวจเลือดจริง จับจริง ปรับจริง แต่เหตุที่ทุกวันนี้ยังมีคนฝ่าฝืนเมาแล้วขับกันทุกวัน
ก็เพราะคนเหล่านี้ประมาทว่า พวกเขาไม่เมาหรอก ขับไปอีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ทางแก้ของพวกนี้เป็นสิ่งที่ไทยยังไม่ทำกัน คือ สั่งปรับอย่างหนัก ยึดพาหนะ ติดคุกเป็นเวลานาน ยกเลิกใบขับขี่ตลอดชีวิต หรือขึ้นป้ายเป็นอาชญากรทำร้ายสังคม
การลงโทษที่เบาเกินไปย่อมไม่เข็ดหลาบ ขณะเดียวกัน การตรวจจับลงโทษก็ต้องเกี่ยวพันกับเรื่องอื่น เช่น การกำหนดการปิดสถานบันเทิงที่เข้มงวด หรือห้ามพกพาเหล้าที่เปิดขวดแล้วบนรถ การลงโทษร้านค้าฝ่าฝืน
เรื่องพวกนี้อาจทะแม่งในสายตาของประเทศที่เจริญแล้ว ที่เขาเสรีแอลกอฮอล์ แต่อย่าลืมว่าเขาไม่มีวิกฤติด้านอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนประเทศของเรา
“การขับรถเร็วจนเกินไป” เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในสามัญสำนึกของคนไทย แม้จะมีความจริงอยู่ว่าไม่มีถนนสาธารณะเส้นไหนในประเทศที่กฎหมายอนุญาตให้ขับเกินกว่า 120 กม.ต่อ ชม. บริษัทรถยนต์มักโฆษณาแต่ความเร็วและแรงทั้งที่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่รถติดมากกว่าแล่น
ในสำนึกคนไทยมีแต่คนก่นด่าคนขับแช่เลนขวา ทั้งที่รถที่ว่าแช่นั้นขับเต็มลิมิตกฎหมายที่ 120 กม.ต่อ ชม.แล้ว ดูเหมือนสำนึกของคนไทยไม่คิดว่าการขับเร็วเป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่การเบรกไม่ทัน
ทางแก้ของเรื่องนี้ จึงน่าจะเป็นการหันมารณรงค์เรื่องการอย่าขับรถเร็วอย่างจริงจัง การรีบขับขี่อาจทุ่นเวลาไปถึงจุดหมายได้อีกไม่กี่นาที แต่ประกันโอกาสรับอันตรายถึงชีวิตได้ไม่น้อย
อาจมีการบังคับใช้กฎหมายให้รถแต่ละคันต้องติดตั้งตัวบังคับที่เมื่อถึงขีด 120-140 กม.ต่อ ชม.จะไม่สามารถเร่งเครื่องขึ้นไปได้อีก
การขับขี่โดยประมาทของคนไทยยังมีอีกมาก ที่เกิดเหตุต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือขับขี่มาบนเส้นทางที่ถูกต้องนั้น ก็มีเช่น การขับขี่บนทางเท้า การขับขี่ย้อนศร การขับทะลุทางม้าลาย การทะลวงผ่านไม้กั้นทางรถไฟ การมองแต่แผนที่จุดส่งของเป็นหลัก เหล่านี้เป็นต้น
เหตุผลที่ทำเช่นนั้นทั้งที่ลดเวลาการเดินทางเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่นาทีก็เพราะว่า คนเหล่านี้สนใจแต่เรื่องการทำเวลาของตนเอง โดยไม่สนใจเรื่องอื่นอย่าว่าแต่สิทธิการใช้ถนนของคนอื่น สิทธิการมีชีวิตของตนเองก็อาจไม่สนด้วย
หากบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังก็จำเป็นต้องกระทบต่อเรื่องอื่น เช่น อ้างว่าคนขับขี่จักรยานยนต์เป็นคนจนทำไมไม่อะลุ่มอล่วยกันบ้าง ค่าปรับไม่มีจ่าย หรือการโดยจับทำให้พวกเขาเสียเวลาทำมาหากิน
แต่หากยังคงปล่อยไปอย่างทุกวันนี้ ก็จะเกิดเหตุอย่างไม่รู้จบ และเมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้งจะกระทบต่อปัญหาอื่น ๆ ตามมาอย่างน่าปวดหัว เช่น ผู้บริสุทธิ์ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ค่ารักษาพยาบาล หรือรถติดยาว
ในหลายปีที่ผ่านมา พาหนะบนท้องถนนมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดีขึ้นมาก รถใหญ่ควันดำน้อยลงและรถบรรทุกตู้ทึบมีมากขึ้น แต่ภายในตัวเครื่องนั้นยังไม่ชัดเจน อุบัติเหตุที่เกิดจากเบรกแตก อุปกรณ์ชำรุดหรือติดตั้งถังแก๊สมากกว่ากฎหมายกำหนดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
จนทำให้คิดว่าการตรวจสภาพรถเหล่านี้มีความจริงจังขนาดไหน ส่วนการประกันภัยก็มีบ้างไม่มีบ้าง เรื่องนี้สัมพันธ์กับการบรรทุกน้ำหนักเกิน ส่วย ถนนหนทางที่ชำรุดอย่างไม่สมควร และอื่น ๆ
การตรวจสอบบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ลงโทษผู้ทุจริตและปิดบริษัทที่มักง่ายอย่างถาวรก่อนที่จะทำให้เกิดการสูญเสีย อาจเป็นยาแรงที่ต้องนำมาใช้
ขณะที่ผู้ขับขี่พาหนะขนาดใหญ่บนท้องถนนของประเทศที่เจริญแล้ว ล้วนแต่มีความเข้มงวดในการสอบใบอนุญาต ค่าสอบแพง และมีมาตรการควบคุมการทำงานและพักผ่อนอย่างไม่ละเมิด เพราะการขับรถที่เครื่องแรงและมีขนาดใหญ่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญสูงกว่าปกติ
ส่วนของไทยไม่มีความเข้มงวดถึงขนาดนั้น บ่อยครั้งที่คนขับไม่มีวุฒิประกาศนียบัตรอะไร และไม่พักผ่อนให้เพียงพอ เรื่องนี้ต้องใช้มาตรการลงโทษนายจ้าง
ขณะเดียวกัน ในภาคของรถเล็กให้บริการ นายจ้างและลูกค้ามักใส่ใจที่ความเร็วและมารยาทในการให้บริการ มากกว่าสนใจเรื่องการสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ร่วมถนน จึงควรรณรงค์และใช้มาตรการทางกฎหมายบังคับไรเดอร์ให้มากกว่านี้ด้วย







