เงิน-ก.ม.-ความเคยชินปัจจัยแก้ปัญหาPM2.5

เงิน-ก.ม.-ความเคยชินปัจจัยแก้ปัญหาPM2.5

หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและ 64 จังหวัดบางวันปริมาณ PM2.5 สูงถึง 180-200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m³) เกินเกณฑ์ปลอดภัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) มากกว่า 14 เท่า

จากการวิเคราะห์ข้อมูล 3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีแหล่งกำเนิดฝุ่น มาจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจร และขนส่ง โรงงาน ดังนั้นมาตรการรับมือ PM2.5 ส่วนหนึ่งจึงต้องลดการเผาป่าและฝุ่นควัน ล่าสุดนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการระดมสมองเพื่อหามาตรการรับมือ PM2.5 ที่จะสูงขึ้นตั้งแต่วันนี้ (30 ม.ค.)ยาวไปถึงสิ้นเดือน มี.ค.

มาตรการรับมือด้วยการสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศออกประกาศห้ามเผา ให้ฝังกลบซากพืชทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็น

ซังข้าวโพด ต้นอ้อยแห้ง ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และการใช้เครื่องแพ็กฟาง การดูแลไม่ให้มีการเผาในพื้นที่ทำการเกษตร ตั้งแต่ 1 มิ.ย.68 ถึง 31 พ.ค.69 โดยรัฐบาลจะหางบประมาณมาช่วยเกษตรกรในการฝังกลบไปจนถึงการแปรสภาพให้เป็นปุ๋ยเป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ใครที่เผาป่า เผาในที่โล่ง เผาทางการเกษตร ถ้ามีการเผาถือว่าผิดกฎหมาย ต้องดำเนินคดี โทษถึงขั้นจำคุก ผู้ที่ฝ่าฝืนจะไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากรัฐ รวมทั้งเสียสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในโอกาสต่างๆในอนาคต โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น Single Command สั่งการป้องกัน แก้ไขปัญหา ได้ด้วยความรวดเร็ว พร้อมตั้งวอร์รูม และให้ข้อมูลกับประชาชนทุกวัน 

ขอความร่วมมือโรงงาน และสมาคมชาวไร่อ้อย ไม่รับซื้ออ้อยที่มาจากการเผาเกิน 25 % ต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมาทุกโรงงานน้ำตาลต่างให้ความร่วมมือ ใบอ้อยสามารถนำไปขายให้กับโรงผลิตพลังงาน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นได้ ส่วนการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าฟรีว่ากันว่าผลสำรวจพบว่าจำนวนรถบนท้องถนนลดลงถึง 5 แสนคันต่อวันในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งการใช้อำนาจอธิบดีกรมควบคุมโรคตามมาตรา 35 พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 ควบคุมเฝ้าระวังพื้นที่ ที่มีฝุ่น PM2.5 ตามระดับความรุนแรงของฝุ่น ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอ โดยให้ทำงานที่บ้าน หรือ Work from home (WFH) /ทำงานผ่านระบบออนไลน์ และงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง

การดำเนินการของรัฐบาลเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง มองว่ามุ่งเน้นภาคการเกษตร ไฟป่า และทางคมนาคม ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรม 125,363 แห่ง ในจำนวนนี้มี 63,350 แห่ง แหล่งกำเนิดใหญ่ที่สุดของฝุ่น PM2.5 และ PM10 มากกว่าภาคคมนาคมขนส่งสูงกว่า 220-350 เท่า กล่าวคือ ภาคอุตสาหกรรมมีการปล่อยฝุ่นPM 2.5 ปริมาณ 44,476.46 ตันต่อปี และPM 10 ปริมาณ 70,987.91 ตันต่อปี ขณะที่ภาคขนส่งมีการปล่อยฝุ่น PM2.5และPM10ในปริมาณ 197.67 ตันต่อปี และ 203.08 ตันต่อปี

หากประเทศไทยมีร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (ร่าง พ.ร.บ. PRTR - Pollutant Release and Transfer Register) จะทำให้เกิดฐานข้อมูลที่รวมข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมทุกประเภทจะทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึง(Open Data) ภาครัฐมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนครอบคลุมสำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษในทุกๆด้านได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็นและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น