รัฐบาลควรทำอะไรเมื่อประชาชนจมฝุ่น

กว่าสัปดาห์แล้วที่ประชาชนคนไทยจมอยู่ในฝุ่น PM 2.5 ในขณะที่รัฐบาลยังมะงุมมะงาหราไม่รู้จะทำอย่างไร คนไทยอยู่ในสภาพตายผ่อนส่งไปเรื่อยๆ อย่างท้อแท้และสิ้นหวัง เหตุผลที่เรายังจมฝุ่นก็เพราะเหตุต่อไปนี้

ขาดการเตรียมการ แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาพูดว่ารู้ปัญหานี้ เตรียมการมาแล้วตั้งแต่ก่อนมารับตำแหน่ง แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นฟ้องว่าไม่จริง ทั้งที่รู้อยู่ว่าฝุ่นจะมาทุกปีตั้งแต่ปี 2562 ที่เริ่มวิกฤติ และต่อไปนี้จะยิ่งมาเร็ว มาแรง และมานาน คลิปที่แพร่ในสื่อโซเชียลสัมภาษณ์นายกฯ ที่ขณะนั้นยังเป็นเพียงหัวหน้าพรรคออกท่าทางขึงขังว่าจะจัดการปัญหานี้ จะห้ามสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มาจากการเผา 

เอาเข้าจริงไม่เห็นทำอะไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ขยับ ประชาชนจึงตกอยู่ในชะตากรรมนี้ ถึงตอนนี้จะให้เขาขึ้นรถเมล์รถไฟฟ้าฟรีก็ไม่ช่วย คนที่ไม่สะดวกเนื่องจากรถไฟฟ้าไปไม่ถึงที่ทำงานและโรงเรียนลูก เขาก็ไม่ใช้อยู่ดี ถ้ารถเมล์รถไฟฟ้าสะดวกสำหรับเขา เขาใช้ไปนานแล้วแม้จะไม่ฟรีก็ตาม แล้วยิ่งเจอฝุ่นขนาดนี้ เขายิ่งอยากอยู่ในรถส่วนตัวมากกว่าอยู่ในรถสาธารณะ งานนี้ไม่เตรียมการแถมตื้นเขินเต็มทีกับวิธีการแก้ปัญหา

ขาดการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการที่นายกออกมาประกาศเมื่อวันก่อน ซึ่งไม่รู้ใครชงให้ สะท้อนชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับฝุ่นไม่เคยทำได้จริง มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่มาตรการแก้ปัญหาแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว ต้องบังคับใช้ให้เป็นรูปธรรม แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ทำกันเลย จึงไม่ถือว่าเป็นไอเดียที่จะแก้ปัญหาใดๆ คำสั่งที่ออกมา 6 เรื่องนอกจากเรื่องรถฟรี ที่เหลือล้วนประจานว่าประเทศนี้ไม่เคยทำอะไรตามกฎหมายได้เลย เช่น เจอเผาจับทันที กวดขันรถควันดำ งดเว้นการก่อสร้างที่สร้างฝุ่น 

ทุกอย่างมีกฎกติกาหมดอยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีผลบังคับเพราะผู้เกี่ยวข้องและมีหน้าที่ปฏิบัติเฉยชาไม่สนใจ จนมีปัญหาสะสมมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ออกมาโวยวายกัน พอฝุ่นจางทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม แล้วเราก็จมฝุ่นกันต่อไป คำสั่งที่ออกมานั้นไม่ใช้มาตรการแก้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำมานานแล้วแต่ละเลยไม่ทำกัน

ขาดความรู้ความเข้าใจของผู้นำ ผู้นำประเทศไม่รู้อะไรเลยเรื่องฝุ่น ยิ่งพูดยิ่งวกวน สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ข้อมูลที่มีก็ไม่ถูกต้อง ขาดไอเดียในการแก้ปัญหา ขาดภาวะผู้นำและสติปัญญา บ่อยครั้งเจอคำถามที่ตอบไม่ได้ก็เข้ารกเข้าพงหรือเอาสีข้างเข้าถู ฟังแล้วเจ็บปวดใจ สมเพชเวทนาตัวเองและประเทศไทย

ถ้าจะแก้ปัญหาก็ลงมือทำเสียเดี๋ยวนี้เลย กับมาตรการต่อไปนี้และต้องเด็ดขาด

ประกาศสถานการณ์ภัยพิบัติหรือฉุกเฉิน เมื่อน้ำท่วมรัฐบาลยังประกาศภัยพิบัติ ซึ่งนั่นอาจจะไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิตมากเท่าสูญเสียทรัพย์สิน แต่สถานการณ์ฝุ่นนั้นเป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องการตายผ่อนส่ง ในระยะยาวจะมีคนมีปัญหาระบบทางเดินหายใจเรื้อรังกันมากมายตามมา 

การประกาศภัยพิบัติจึงมีเหตุผล ควรตั้งกองบัญชาการแก้ไขฝุ่นให้เหมือนแก้โควิด-19 ให้เกิด single command บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่สั่งการไปส่งๆ จากนั้นรัฐต้องประกาศมาตรการที่เฉียบขาดในภาวะภัยพิบัติ เช่น จำกัดจำนวนรถบนท้องถนนตามวันคี่วันคู่ รถจะหายไปเลยครึ่งหนึ่ง (หากเชื่อว่าต้นตอหลักมาจากรถยนต์) ไม่ใช่ไปงดค่ารถเมล์ และนี่จะเป็นต้นทางให้รัฐใช้เป็นเหตุผลในการจัดการกับการจราจรในระยะยาวต่อไปด้วย 

เพราะเรื่องนี้พูดกันมาเป็นชาติ ไม่เคยทำได้ ก็ใช้ภาวะภัยพิบัตินี้จัดการเสียเลยทั้งเรื่องการเผา การจราจร การขนส่ง การบรรทุกที่ไร้สิ่งปกคลุม การปกคลุมไซต์งาน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญต้องสื่อสารกับประชาชนทุกขณะ โชว์ตัวอย่างที่จับ ที่สั่งปิด ที่ออกไประงับเหตุ ให้เห็นว่าเป็นเรื่องวิกฤตที่ต้องหวาดวิตกร่วมกัน

จัดการพาหนะควันดำและโรงงาน ประกาศภาวะภัยพิบัติแล้ว เอาตำรวจทหารออกมาจับปรับรถควันดำ รถขนดินที่ไม่ทำตามกฎหมาย ไม่คลุมผ้าใบทำดินตกเรี่ยราดที่วันนี้วิ่งเต็มถนนไปหมด ที่จริงเป็นหน้าที่ของตำรวจจราจรโดยแท้ แต่ไม่เคยทำกัน ประกาศให้กิจการตรวจสภาพรถไม่รับต่อทะเบียนรถควันดำ ใครฝ่าฝืนมีโทษหนัก รถเมล์ของ ขสมก.และรถร่วมก็เข้าไปตรวจในอู่ คันไหนควันดำพ่นสีทำเครื่องหมายห้ามวิ่ง ฝ่าฝืนลงโทษหนัก ไม่เว้นกับพาหนะในรูปแบบอื่นๆ ด้วย โรงงานที่ส่งควันออกมาเกินมาตรฐานสั่งปิดทันที เปิดเผยชื่อกิจการให้ประชาชนรับรู้ ไม่ต้องเกรงใจใคร

จัดการเรื่องเผา ที่เป็นต้นตอใหญ่ รัฐมนตรีไม่ต้องไปขู่เด้งผู้ว่า เพราะเท่ากับประจานตัวเองว่าที่ผ่านมาไม่ใส่ใจ ควรเด้งตัวเองมากกว่า ให้ผู้ว่าไปทำงานให้เต็มที่ ให้เขามีดาบอาญาสิทธิ์ในมือในภาวะภัยพิบัติ ทุกพื้นที่ทุกระดับสั่งห้ามการเผาเด็ดขาด กำหนดโทษและบังคับใช้ทันที ธุรกิจที่เกี่ยวกับพืชผลต้องระงับการซื้อพืชผลที่มีส่วนกับการเผา ไม่ต้องเกรงใจนายทุนทั้งรายเล็กรายใหญ่ ภาคครัวเรือนต้องสั่งห้ามเผาไม่ใช่แค่ขอความร่วมมือ 

เริ่มตั้งแต่ตรุษจีนเลย ให้เป็น “ตรุษจีนห้ามเผา” ซึ่งอาจจะไม่ทันแล้ว แต่รณรงค์กันต่อไปยาวๆ นายกฯ ต้องทำงานมากกว่านี้ อย่าเพียงแค่สั่งการ กับประเทศเพื่อนบ้านที่คุยว่าสนิทสนมกับพ่อให้รีบเจรจา ที่เคยคิดว่าจะห้ามค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านที่เผาก็ทำเลยเดี๋ยวนี้

การแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นที่ถือเป็นภัยพิบัตินั้นต้องกล้าตัดสินใจ โดยคนทุกกลุ่มต้องร่วมกันเจ็บกับงานนี้ หรือต้องเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกัน ไม่อย่างนั้นก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ประเทศนี้ล้มเหลวกับการบังคับใช้กฎหมายทุกอย่างมาโดยตลอด เพราะผู้นำและนักการเมืองกลัวสูญเสียประโยชน์ต่างตอบแทน กลัวเสียคะแนนเสียง จนทุกเรื่องหมักหมมกลายเป็นปัญหารุนแรงอย่างที่เห็น แถมยังสร้างปัญหาทุจริตมากมาย 

ปัญหาฝุ่นขอให้กล้าแสดงความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ เลิกเป็นเต่าตุ่นทั้งเรื่องฝุ่นหรือเรื่องไหนๆ เพื่อเห็นแก่บ้านเมืองและประชาชนตาดำๆ