ภาษีสุขภาพ(ภาคต่อ) วิกฤติ "งบบัตรทอง"

จาก วิกฤติ “บัตรทอง” สั่นคลอนการเงินโรงพยาบาลรัฐ ต่อด้วย ปฏิรูปบัตรทอง ปฏิรูป“บอร์ดสปสช.” มาถึงภาคต่อทางออกแก้วิกฤติงบประมาณที่ไม่เพียงพอ
ซึ่งเป็นข้อสรุปในการหารือของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)ได้มีมติคงอัตราการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในไว้ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2569 และโอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอก (OP) และงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) ของปีงบประมาณ 2569 ให้กับหน่วยบริการสังกัดสธ. รวมถึงสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติและ รพ.สต. ถ่ายโอนฯ ไปแล้ว 50 % เมื่อวันที่ 31 ต.ค.
ว่ากันว่า ตัวเลข 8,350 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ (AdjRW) เป็นอัตราจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และยังคิดเป็น 63 % ของต้นทุนจริงในขณะนั้นซึ่งอยู่ที่ 13,240 บาทต่อ 1 น้ำหนักสัมพัทธ์ และต้นทุนค่ารักษาผู้ป่วยในจริงในช่วงปีงบประมาณ 2564–2566
ได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ในช่วง 15,900 – 16,400 บาทต่อ AdjRW การที่สปสช.จ่ายค่าบริการผู้ป่วยอัตรา 8,350 บาทต่อ AdjRW ตลอดทั้ง 3 ปี ที่ผ่านมาทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้และรายจ่ายของโรงพยาบาลขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันงบประมาณรายจ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยอยู่ที่ราว 10 % ของงบประมาณแผ่นดิน โดยงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 2.35 แสนล้านบาท งบประมาณผู้ป่วยในอยู่ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW ในปี 2568 คิดเป็นเลขกลมๆ อยู่ที่ 84,000 ล้านบาท ขณะที่สถานการณ์วัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้เสียภาษีรายได้ลดลงตามไปด้วย สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณมาดูแลในส่วนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการของบประมาณในปี 2570 จึงจำเป็นต้องพิจารณาอัตราการเติบโตของการให้บริการในปี 2569 มาประกอบการจัดทำคำของบประมาณให้เพียงพอและพิจารณาลดรายการบริการที่ไม่จำเป็น
มุมมอง“ทพ.ธนพล รี้พลมหา” คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) และนักศึกษาปริญญาเอกด้านระบบสาธารณสุขโลก มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ซึ่งทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเกี่ยวกับระบบประชาธิปไตยกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของไทย ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่า งบประมาณในระบบบัตรทอง ไม่สอดรับกับสถานการณ์สุขภาพ หรือสถานการณ์ประชากรของประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันที่เป็นสังคมสูงวัย ซึ่งโรคภัยต่างๆ รุมเร้าประชาชนมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีของการรักษาก้าวไปข้างหน้า
ขณะที่งบประมาณสำหรับการจัดการในระบบสุขภาพของประเทศไม่ได้ปรับขึ้นตาม สำหรับโซลูชันที่จะทำให้การเพิ่มเงินเข้าสู่ระบบได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือปฏิรูประบบภาษี และใช้ระบบภาษีสุขภาพ (Health Tax) จากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน แต่จำเป็นต้องวางระบบกันในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืน แนวคิดนี้ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะเกิดขึ้นได้จริงเพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงของบัตรทอง







