ปี 2025: เมื่อ “ทองคำและหุ้นเอเชีย” เรืองรองเหนือวอลล์สตรีทและบิตคอยน์

ปี 2025: เมื่อ “ทองคำและหุ้นเอเชีย” เรืองรองเหนือวอลล์สตรีทและบิตคอยน์

ในปี 2025 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุด โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 70% จากแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดหุ้นเอเชียกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี MSCI AC Asia พุ่งขึ้น 27% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากมูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูดและกลยุทธ์ “China Plus One” ที่กระจายการลงทุนออกจากจีน

KEY

POINTS

  • ในปี 2025 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุด โดยให้ผลตอบแทนสูงถึง 70% จากแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
  • ตลาดหุ้นเอเชียกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนี MSCI AC Asia พุ่งขึ้น 27% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากมูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูดและกลยุทธ์ “China Plus One” ที่กระจายการลงทุนออกจากจีน
  • แม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท (S&P 500) จะยังเติบโตได้ 17% จากกระแส AI แต่ก็ถูกบดบังรัศมีด้วยผลตอบแทนที่ร้อนแรงกว่าของทองคำและตลาดหุ้นเอเชีย
  • บิตคอยน์แสดงให้เห็นถึงความผันผวนอย่างรุนแรง แม้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ แต่ก็ถูกเทขายอย่างหนักจนผลตอบแทนทั้งปีติดลบ 6% ซึ่งตอกย้ำว่ายังไม่สามารถเทียบเคียงเสถียรภาพของทองคำจริงได้

หน้าประวัติศาสตร์การเงินในปี 2025 กำลังถูกจารึกใหม่ในฐานะปีที่ “สูตรสำเร็จ” เดิมๆ ถูกท้าทายอย่างสิ้นเชิง ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา กลยุทธ์การสะสมความมั่งคั่งที่เรียบง่ายที่สุดคือการถือครองหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ทว่าในปีนี้บริบทโลกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้ตลาดทุนอเมริกันจะยังคงรักษาเสถียรภาพการเติบโตได้ตามมาตรฐาน แต่กลับถูกบดบังด้วยความร้อนแรงของราคาทองคำที่สร้างสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ และการตื่นจากหลับใหลอย่างสง่างามของตลาดหุ้นเอเชีย ขณะที่บิตคอยน์ยังคงเผชิญกับบททดสอบด้านความผันผวน ย้ำเตือนให้นักลงทุนตระหนักว่า แม้สถาบันการเงินใหญ่ระดับโลกจะยอมรับเพียงใด แต่ธรรมชาติของสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงห่างไกลจากคำว่าเสถียรภาพ

การกลับมาของ “ยุคทอง” (The Gilded Age)

คำว่ายุคทองในกรณีนี้ไม่เพียงแต่หมายถึงความเรืองรองแต่คือ “ทองคำ” นั่นเอง หากจะคัดเลือกสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งปี คงไม่มีสิ่งใดสง่างามเกินกว่า “ทองคำ” โลหะมีค่าที่เริ่มต้นปีด้วยราคา 2,669 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะทะยานขึ้นอย่างไม่ลดละจนสามารถทลายกำแพงทางจิตวิทยาที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน และทรงตัวอย่างแข็งแกร่งใกล้ระดับ 4,420 ดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้ คิดเป็นผลตอบแทนรวมตั้งแต่ต้นปี (YTD) สูงถึง 70%

ปรากฏการณ์ “ทองคำฟีเวอร์” ในครั้งนี้ไม่ใช่ผลพวงจากแรงเก็งกำไรรายย่อย แต่เป็นผลจากการปรับทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ของธนาคารกลางทั่วโลก ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หยั่งรากลึก เมื่อความขัดแย้งทางการค้าระหว่างขั้วอำนาจตะวันตกและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Global South) เปลี่ยนจากวาทกรรมสู่การปฏิบัติจริง ผนวกกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งเพื่อพยุงตลาดแรงงาน ทองคำจึงทวงคืนสถานะ “หลุมหลบภัย” (Safe Haven) ที่ดีที่สุด และนับว่าผลตอบแทนของการลงทุนในทองคำดีที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติเงินเฟ้อในปี 1979 เป็นต้นมา

การตื่นจากหลับใหลของเอเชีย (Asia's Renaissance)

หลังจากตลาดหุ้นเอเชียถูกบดบังโดยความเข้มแข็งของตลาดตะวันตก ปี 2025 คือปีที่ตลาดหุ้นเอเชียทำให้นักลงทุนลดความกังวลลงไป จนหันมาคึกคักอีกครั้ง ดัชนี MSCI AC Asia (ซึ่งหมายถึงดัชนีหุ้นเอเชียที่รวมหุ้นขนาดใหญ่และกลางจากตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ในทวีปเอเชีย เพื่อสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นเอเชียโดยรวม) พุ่งทะยานขึ้นถึง 27% โดยมีปัจจัยหนุนจากมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังอยู่ในระดับน่าดึงดูด และการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีที่กระจายตัวออกจากจีน

กลยุทธ์ “China Plus One” (แนวทางที่ธุรกิจยังคงผลิตและดำเนินงานในจีน (China) แต่กระจายการผลิตหรือหาฐานการผลิตสำรองในประเทศอื่น (Plus One) เช่น ไทย, เวียดนาม เพื่อ ลดความเสี่ยง (Risk Diversification) จากการพึ่งพาจีนเพียงแห่งเดียว และเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรับมือกับปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า, ความผันผวนทางการเมือง, หรือต้นทุนที่สูงขึ้น) เริ่มสัมฤทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในอินเดียและเวียดนามที่รายงานตัวเลขผลผลิตอุตสาหกรรมสูงสุดเป็นประวัติการณ์

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระดับภูมิภาค ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน (Sector Rotation) จากวอลล์สตรีทที่มีราคาสูงเกินไป เข้าสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ในโตเกียว โซล และมุมไบ พิสูจน์ให้เห็นว่าการกระจายความเสี่ยงสู่ต่างประเทศคือกลยุทธ์ที่สร้างผลกำไรมหาศาลอย่างแท้จริง

วอลล์สตรีท: เสาหลักที่ยังคงเชื่อถือได้

ในฝั่งอเมริกา แม้ดัชนี S&P 500 จะไม่ได้รั้งตำแหน่งผู้นำ แต่การปิดฉากปีด้วยตัวเลขบวกประมาณ 17% ก็นับเป็นผลตอบแทนที่น่าประทับใจ โดยมี “การประยุกต์ใช้ AI” (AI Integration) เป็นฟันเฟืองหลัก

ปี 2025 คือช่วงเวลาที่กระแส “AI Hype” วิวัฒนาการสู่การสร้างกำไรจริง กลุ่มหุ้น “Magnificent Seven” เติบโตสู่ความมั่นคง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของ Large Language Models ในเชิงพาณิชย์และการซื้อหุ้นคืน อย่างไรก็ตาม การขยับขึ้นของอัตราว่างงานสู่ระดับ 4.6% ในเดือนพฤศจิกายน ทำให้ภาพลักษณ์การลงจอดอย่างนุ่มนวล (Soft Landing) ดูเปราะบางลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวในทิศทางที่ระมัดระวังกว่าตลาดอื่น

บิตคอยน์: บทเรียนแห่งความผันผวน

บิตคอยน์เปิดฉากปีด้วยความหวังจากกฎหมาย GENIUS Act ที่สร้างกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน จนสามารถสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 126,000 ดอลลาร์ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทว่าแรงเหวี่ยงกลับเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในไตรมาสสุดท้าย เมื่อนักลงทุนสถาบันเริ่มเทขายทำกำไรตามปรากฏการณ์ “Sell the News” ฉุดราคาลงมาอยู่ที่ประมาณ 87,000 ดอลลาร์ ส่งผลให้ผลตอบแทนติดลบราว 6% นี่คือเครื่องเตือนใจสำคัญว่า ในยามที่ตลาดมองหาความปลอดภัย “ทองคำดิจิทัล” ยังไม่อาจเทียบเคียงเสถียรภาพของทองคำจริงได้

มุมมองสู่ปี 2026: ทิศทางแห่งการกระจายตัว (Resilient Rotation)

เมื่อมองไปข้างหน้า บทเรียนสำคัญจากปี 2025 คือ “อันตรายของการยึดติด” ความยิ่งใหญ่ของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ไม่ใช่คำตอบเดียวของการลงทุนอีกต่อไป

ทองคำ: คาดว่าจะยังคงรักษาทิศทางขาขึ้นโดยมีเป้าหมายที่ 5,000 ดอลลาร์ แม้ความเร็วในการขยับราคาอาจลดลงตามแรงซื้อสะสมของธนาคารกลาง

หุ้นเอเชีย: ถูกยกให้เป็น “พระเอกตัวจริง” ของปี 2026 ด้วยแต้มต่อด้านราคาและแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐในอินเดียและญี่ปุ่น

บิตคอยน์: จะเข้าสู่ปีแห่งการพิสูจน์มูลค่าที่แท้จริง โดยมีโอกาสแตะระดับ 150,000 ดอลลาร์ จากเม็ดเงินสถาบัน แต่จะมาพร้อมกับความผันผวนที่นักลงทุนต้องรับความเสี่ยงให้ได้

คาดสรุปได้ว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่การลงทุนแบบผสมผสานมีบทบาทสำคัญที่สุด โดยมี “หุ้นเอเชีย” เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต “ทองคำ” เป็นเกราะป้องกันความเสี่ยง และ “บิตคอยน์” เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงภายใต้ความเสี่ยงที่คำนวณไว้แล้ว

“ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าตื่นเต้นของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองครั้งสำคัญในไทย และความท้าทายจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่รุมเร้า ทั้งปัญหาชายแดนและมรสุมทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ประกอบการไปจนถึงระดับครัวเรือน ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โปรดดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญในหน้าที่การงาน มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ และประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างคุ้มค่าและยั่งยืนสถาพรตลอดไปครับ”