3 ปัจจัยที่ทำให้อินเดียกำลังมาแรง กับโอกาสลงทุนปี 2026

การเติบโตจากพลังภายในประเทศ: เศรษฐกิจอินเดียขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง (กว่า 60% ของ GDP) โดยมีปัจจัยหนุนจากประชากรวัยหนุ่มสาว (อายุเฉลี่ย 28 ปี) และรายได้ต่อหัวที่เติบโตต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- การก้าวสู่ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก: อินเดียผลักดันนโยบาย "Made in India" และ National Manufacturing Mission (NMM) เพื่อดึงดูดการลงทุนตามเทรนด์ "China+1" และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต
- การเติบโตจากพลังภายในประเทศ: เศรษฐกิจอินเดียขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง (กว่า 60% ของ GDP) โดยมีปัจจัยหนุนจากประชากรวัยหนุ่มสาว (อายุเฉลี่ย 28 ปี) และรายได้ต่อหัวที่เติบโตต่อเนื่อง
- Valuation ที่น่าสนใจและกำไรเติบโตสูง: ตลาดหุ้นอินเดียมีมูลค่า (Valuation) ที่ยังน่าสนใจ โดยซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 4 ปี ขณะที่คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2026 จะเติบโตสูงถึง 17%
ตลาดอินเดียกำลังกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามากที่สุดในช่วงปี 2026 ไม่ใช่เพียงเพราะตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง แต่เพราะอินเดียกำลังก้าวเข้าสู่ “การเติบโตรอบใหม่” ที่มีรากฐานจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การขยายตัวของฐานการผลิต และอำนาจการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุน 3 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ “อินเดีย” เป็นตลาดที่ควรพิจารณาเพิ่มน้ำหนักในปี 2026
1. จากนโยบาย Made in India สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อินเดียได้ผลักดันนโยบาย “Made in India” อย่างจริงจัง ดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกให้กระจายฐานการผลิตจากประเทศจีนตามเทรนด์ “China+1” แต่เป้าหมายของอินเดียไม่ได้หยุดที่การดึงโรงงานเข้ามาลงทุน หากต้องการ “ยกระดับ” ประเทศให้เป็นฐานการผลิตใหม่ของโลกอย่างแท้จริง เห็นได้จากการต่อยอดสู่ National Manufacturing Mission (NMM) ที่เป็นกุญแจสำคัญของยุทธศาสตร์นี้โดยมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุนโลจิสติกส์ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรม และการยกระดับทักษะแรงงานยุคใหม่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอนาคต เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน ชิ้นส่วนยานยนต์ และเทคโนโลยีสะอาด(Green tech) นโยบายนี้ไม่เพียงจะช่วยสร้างห่วงโซ่การผลิต (ecosystem) ที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตระยะยาวของอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ยังดึงเม็ดเงินการลงทุนเข้าในประเทศเพิ่มต่อเนื่อง
2. การเติบโตทางเศรษฐกิจที่มาจากพลังภายในประเทศ การเติบโตของอินเดียมีความโดดเด่นจากแรงขับเคลื่อนอุปสงค์ภายในประเทศ มากกว่าการพึ่งพึ่งการส่งออกเหมือนประเทศเกิดใหม่อื่น การบริโภคภาคเอกชนที่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP รวมถึงโครงสร้างประชากรที่หนุ่มสาว (อายุเฉลี่ยเพียง 28 ปี) ทำให้กำลังแรงงานและกำลังซื้อขยายตัวอย่างมั่นคง นอกจากนี้รายได้ต่อหัวประชากร (GDP per Capita) ของอินเดียมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีในช่วง 2026 - 2030 จากทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจที่พัฒนา และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการฟื้นตัวของรายได้ประชาชน ซึ่งการเติบโตนี้สะท้อนโดยตรงไปยังภาคธุรกิจ ทำให้ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เป็นพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดหุ้นในระยะยาว
3. Valuation ยังมีอัพไซด์ กำไรเติบโตแข็งแกร่ง แม้ว่าพื้นฐานเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทอินเดียจะเติบโตอย่างแข็งแรง แต่ตลาดหุ้นกลับปรับตัวขึ้นไม่มากนักในปี 2025 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า ส่งผลให้เกิด “valuation gap” ระหว่างราคาปัจจุบันกับศักยภาพของกำไรตลาดหุ้น คาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2026 จะเติบโตประมาณ 17% สูงกว่าตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่รวมถึงตลาดพัฒนาแล้ว
ขณะเดียวกันดัชนีหุ้นอินเดียยังซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (Discount) ราว 10%” เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว และถือว่าเป็นระดับที่ถูกที่สุดในรอบ 4 ปี ทำให้มีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสลงทุนในตลาดที่กำไรเติบโตโดดเด่นและมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรง
โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นอินเดียสะท้อนศักยภาพจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า การพัฒนาฐานการผลิตใหม่ของโลก การเติบโตของภาคบริการและเทคโนโลยี รวมถึงการขยายตัวของชนชั้นกลางที่หนุนการบริโภคภายในประเทศ เมื่อผสานเข้ากับเศรษฐกิจที่เติบโตเหนือจีน และแนวโน้มกำไรบริษัทที่ยังอยู่ในทิศทางบวก ขณะที่ความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ยังอาจเป็น “ตัวเร่งสำคัญ” ที่ช่วยปลดล็อกความไม่แน่นอนในตลาด ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสสะท้อนศักยภาพการเติบโตที่แท้จริงได้มากขึ้น ทำให้อินเดียจึงเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตามองที่สุดสำหรับปี 2026







