ยุทธศาสตร์การลงทุนใน AI WAR 2026

ลงทุนในผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ของจีน ซึ่งคาดว่ารายได้จะเติบโต 20-30% ต่อปี จากความได้เปรียบด้านต้นทุนการประมวลผล AI ที่อาจต่ำกว่าสหรัฐฯ ถึง 90%
KEY
POINTS
- ลงทุนในผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ของจีน ซึ่งคาดว่ารายได้จะเติบโต 20-30% ต่อปี จากความได้เปรียบด้านต้นทุนการประมวลผล AI ที่อาจต่ำกว่าสหรัฐฯ ถึง 90%
- ในสหรัฐฯ ให้มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทผู้นำด้านการออกแบบชิป AI และบริษัทในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก (Rare Earth Supply Chain) ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
- ลงทุนตามลักษณะการประยุกต์ใช้: ในสหรัฐฯ เน้นบริษัทที่เป็นผู้ใช้งาน AI โดยตรงเพื่อสร้างนวัตกรรมขั้นสูง ส่วนในจีนเน้นภาคอุตสาหกรรมที่นำ AI ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
- นักลงทุนต้องเข้าใจว่าชัยชนะในสงครามเทคโนโลยีไม่ได้ขึ้นอยู่กับนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการบริหารประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาคอขวดในการผลิต และการประยุกต์ใช้งานจริง
การแข่งขันชิงความเป็นหนึ่งในเทคโนโลยี AI ระหว่างสหรัฐกับจีนกลายเป็นประเด็นที่กำลังส่งผลต่อระเบียบโลกใหม่ ทั้งสองประเทศมีเดิมพันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ แต่รวมไปถึงความมั่นคง และการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ไปพร้อมกัน
สำหรับปี 2026 ทั้งสหรัฐและจีนเผยกลยุทธ์ให้เห็นมากกว่าทุกครั้ง เมื่อการแข่งขันทวีความเข้มข้น ยุทธศาสตร์ AI จะกดดันให้ทั้งสองประเทศยิ่งต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด การทำความเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อนของแต่ละฝ่าย คือกุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนในการวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้การแข่งขันในครั้งนี้
เริ่มที่สหรัฐเป้าหมายหลักคือ Tech Superiorityกดดันจีนเรื่องความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
รัฐบาลสหรัฐปัจจุบันใช้กลยุทธ์คล้ายกับยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น คือผสมผสานระหว่างการเข้าแทรกแซงโดยรัฐบาลในระดับสูง และใช้แรงจูงใจทางการเงินเพื่อสนับสนุนการผลิตและการจัดซื้อภายในประเทศ คล้ายกับยุคการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐ-ญี่ปุ่น
จุดแข็งสำคัญของสหรัฐคือการครองความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และความน่าเชื่อถือในระดับโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ Semiconductor ที่สหรัฐมีส่วนแบ่งการตลาดราว 50% พร้อมกันนี้ สหรัฐมีความได้เปรียบด้านความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประวัติการประกอบธุรกิจที่เน้นความโปร่งใส แตกต่างจากจีนที่มักมีรูปแบบการควบคุมจากรัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงและจุดอ่อนหลักของสหรัฐ คือปัญหาคอขวดด้านการผลิตชิป และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
แม้จะเป็นผู้นำด้านการออกแบบ แต่การผลิตส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะ TSMC และ Samsung ความพยายามในการย้ายฐานการผลิต (reshoring) มีความท้าทายทั้งด้านต้นทุนและการขาดแคลนวิศวกร
นอกจากนั้น อีกปัญหาสำคัญคือข้อจำกัดด้านพลังงาน เนื่องจากตลาดไฟฟ้าในสหรัฐมีความตึงตัวและไม่มีเอกภาพ หากไร้ซึ่งพลังงานในการขับเคลื่อน ความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงภาพร่างบนกระดาษ
ข้ามมาที่ฝั่งจีน ยุทธศาสตร์สำคัญคือความเป็นองค์รวมและมีการประสานงานสูง พร้อมกดดันสหรัฐ ด้วย Rare Earths
เป้าหมายหลักของจีนคือความเป็นอิสระด้านเทคโนโลยี เมื่อจีนมองว่าการพัฒนา AI เป็นความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจึงมีการสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาล ตั้งแต่การตั้งกองทุนนำร่องมูลค่ากว่า 13 ล้านล้านหยวนในปี 2024 และให้การสนับสนุนส่วนอื่น ๆ เช่นที่ดินราคาถูก การพัฒนากำลังคน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการประมวลผล AI เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน Application อย่างแพร่หลาย
จุดแข็งของจีน คือการครอบครองวัตถุดิบสำคัญและแร่หายาก (Rare Earths) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับการสกัดแร่หายากมากกว่า 90% ของโลก เป็นผู้นำด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เช่น หุ่นยนต์ AI และยานยนต์ไร้คนขับ ล่าสุดมีการติดตั้งหุ่นยนต์ในภาคการผลิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าสหรัฐ ถึง 12 เท่า มากไปกว่านั้น คือความได้เปรียบด้านประสิทธิภาพ กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองสูง ต้นทุนต่ำตัวอย่างที่ชัดเจนเช่น DeepSeek ที่มีต้นทุนการประมวลผลคิดเป็นเพียง 3% ของ ChatGPT
แต่ปัญหาหลักของจีนหนีไม่พ้นการขาดแคลนชิปขั้นสูงและความซ้ำซ้อนด้านการผลิต
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของจีนคือการถูกจำกัดการเข้าถึงชิปและเครื่อง EUV จากตะวันตกเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แม้จีนจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถภายในประเทศ แต่อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมสหรัฐในปัจจุบัน นอกจากนี้ การสนับสนุนบางอุตสาหกรรมแบบสุดโต่งมักก่อให้เกิดปัญหาภายในเรื่องการลงทุนที่ซ้ำซ้อน และกำลังการผลิตที่ล้นเกินในหลายอุตสาหกรรม
เมื่อเราเข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของทั้งสหรัฐ และจีนยุทธศาสตร์การลงทุนในสงคราม AI จะพุ่งเป้าไปที่ 3 สมรภูมิหลัก
(1) โครงสร้างพื้นฐาน - สมรภูมิ Cloud ของจีนกำลังจะพุ่งทะยาน
ในปี 2026 ผมเชื่อว่าจีนจะไล่ตามสหรัฐทัน มีโอกาสเห็นต้นทุนการประมวลผล AI (Inference costs) ในประเทศจีนลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ที่ต้นทุนโดยรวมอาจต่ำกว่าคู่แข่งในสหรัฐ ถึง 90% เรียกว่าไล่ตามด้วยความคุ้มค่า และรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สำหรับนักลงทุน ผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ของจีนจะเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญ คาดว่ารายได้ของธุรกิจนี้ จะเติบโตกว่า 20-30% ต่อปีไปจนถึงปี 2027
(2) พัฒนาการของชิปและ AI - แกนหลักของสหรัฐไม่แพ้ง่ายๆ
ในการแข่งขันด้านชิป สหรัฐมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำโลกต่อไป ไม่ใช่แค่เพราะพัฒนาการของสหรัฐจะเกิดขึ้นเร็ว แต่ความก้าวหน้าของจีนจะถูกจำกัดด้วยชิปขั้นสูง บริษัทที่เป็นผู้นำในการออกแบบชิป AI และบริษัทใน Rare Earth Supply Chain ในสหรัฐจะได้รับการสนับสนุนสูงสุด เป็นสองการลงทุนหลักที่จะกำหนดทิศทางและอนาคตของพัฒนาการ AI โลก
(3) การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ-สมรภูมิที่ทั้งจีนและสหรัฐ ต้องรักษาฐานที่มั่นของตัวเอง
จีนจะสร้างแอปพลิเคชัน AI จำนวนมากที่สุดในโลกเน้นกลยุทธ์ต้นทุนต่ำและหลากหลาย ส่วนสหรัฐจะสร้าง AI ที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานของนวัตกรรมขั้นสูง
ในมุมการลงทุน หมายความว่าตลาดของสหรัฐจะเป็นผู้ใช้ AI โดยตรง แต่ตลาดของจีนจะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งทั้งสองประเทศต้องรักษาความได้เปรียบและฐานลูกค้าไว้ให้ได้
ในมุมมองของผม สงคราม AI WAR มีแต่จะเข้มข้นขึ้น เพราะความได้เปรียบของทั้งจีนและสหรัฐมีความแตกต่างกันมาก
นักลงทุนต้องจำไว้ว่า สำหรับสงครามแห่งเทคโนโลยีชัยชนะไม่ได้อยู่แค่การสร้างนวัตกรรม แต่รวมไปถึงการบริหารประสิทธิภาพ แก้ข้อจำกัดในการผลิต และประยุกต์ใช้งานจริงไปพร้อมกันด้วยครับ







