ปี 2026 จุดสิ้นสุดขาขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก ?

การผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ กำลังจะเริ่มมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
KEY
POINTS
- การผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ กำลังจะเริ่มมีข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
- ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะผลักดันตลาดให้ปรับตัวขึ้นต่อได้อีก นักลงทุนต้องการเห็นแนวโน้ม (Guidance) ที่ดีในอนาคตด้วย
- นโยบายกีดกันทางการค้าและอัตราภาษีใหม่ๆ ที่จะเริ่มส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น จะทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นและอาจกระทบต่อยอดขาย โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศสูง
- ความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ จากการเลือกตั้งกลางเทอม (Midterm Election) ในปี 2026 อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญและสร้างความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
- แม้มีความเสี่ยง แต่ตลาดยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ หากการนำเทคโนโลยี AI มาใช้สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าช่วยสร้างกำไรและประโยชน์ต่อผลประกอบการของธุรกิจได้จริง เพื่อรองรับมูลค่า (Valuation) ที่ตึงตัวในปัจจุบัน
ขาขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก (Bull Market) ที่ดำเนินติดต่อกันมากว่า 2 ปี กำลังจะจบลง? …นับจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วงปลายปี 2023 จนถึงปัจจุบันตามจุดเปลี่ยนของนโยบายการเงินโลกนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ที่ 5.25% -5.50% สู่ระดับ 3.75% - 4.00% ในปัจจุบัน (เดือน พ.ย. 2025) การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มีพร้อมกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่เติบโตโดดทำให้การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นอีกหลายแห่งทั่วโลกถูกรองรับไว้ด้วยปัจจัยพื้นฐานบนจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีครั้งสำคัญ
ปัจจุบันแม้เราจะมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลกโดยรวมที่ยังคงได้แรงหนุนจากการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี AI แต่ระดับการประเมินมูลค่าหรือ Valuation ที่ตึงตัวตลอดจนความกลัวต่อภาวะฟองสบู่ทำให้ตลาดหุ้นมีความเปราะบางต่อความเสี่ยงและปัจจัยลบที่เข้ามาเป็นระยะๆ เบื้องต้นเราจึงได้ตั้งข้อสังเกตุต่อประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญดังนี้
1. การลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอีกหลายแห่งทั่วโลกในอนาคตจะเริ่มจำกัด : กรณีสหรัฐฯ คณะกรรมการเฟดให้ความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ลดลงในระดับที่เหมาะสมตามกรอบเป้าหมายในระยะยาว (2.00%) ซึ่งปัจจุบันการลดลงของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเผชิญกับความท้าทายจากผลประทบจากนโยบายตอบโต้ทางภาษี (Reciprocal Tariff) ส่วนธนาคารกลางอื่นๆ ต่างลดดอกเบี้ยลงมาค่อนข้างมากแล้วตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (เช่นยุโรป) ทำให้การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคตจำกัด
2. Earnings Surprise ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดใหญ่สหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นต่อ: ตลอดช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมา (1Q24 – 3Q25) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีดีกว่าที่ตลาดคาด (มากกว่า 70% ของดัชนี S&P 500 ทุกรอบการรายงาน) แต่ในช่วง 2H25 แม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดแต่นักลงทุนต้องการ Guidance ที่ดีหรือ Key Catalyst อื่นๆ ซึ่งทำให้ทิศทางผลประกอบการในอนาคตยังคงดีต่อ
3. นโยบายกีดกันการค้ารวมถึงอัตราภาษีทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจกระทบต่อยอดขาย: ผลกระทบด้านภาษีจะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วง 4Q25 เป็นต้นไป บนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ รวมถึงการจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงยกตัวอย่างเช่น NVIDIA ถูกจำกัดการส่งออกชิปไปยังจีน และผู้บริหารไม่ได้นำรายได้จากจีนเข้ามีรวมในประมาณการ รวมถึงบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ อื่นๆ ที่มีรายได้จากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงเทียบกับรายได้รวม
4. ความไม่แน่นอนของการเมืองสหรัฐฯ : ในปี 2026 จะมีการเลือกตั้งกลางเทอม (Midterm Election) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการปรับนโยบายสำคัญทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เช่น นโยบายด้านภาษี, นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ, การปรับลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) และอื่นๆ ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเลือกจากผลการเลือกตั้งดังกล่าวจะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้วสิ่งที่เราให้ความสนใจในขณะนี้คือวิวัฒนาการของเทคโนโลยี AI ในมิติของผู้ประกอบการซึ่งเชื่อมโยงไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า AI สามารถทำเงินได้จริงอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
· บริษัทผู้พัฒนา Platform AI (Generative AI) อาทิ OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Alibaba (Qwen), รวมถึง AI Application อย่าง ByteDance และ Baidu บริษัทเหล่านี้ในส่วน Business AI Related จะมีการ Breakeven หรือเริ่มมีกำไรเมื่อใดนับจากปี 2025 เบื้องต้นเท่าที่เราได้รวบรวมข้อมูลที่นักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นในมุมกว้างเอาไว้คาดว่าบริษัทเหล่านี้มีโอกาสที่จะมีกำไรได้ภายในปี 2028-2030 (ภายใน 3-5 ปี) ภายใต้กลยุทธ์ Race to scale สู่ Path to profit อ้างอิงข้อมูลจากบทความของ Wall Street Journal: Anthropic Leads OpenAI in Profit Race ที่ตีพิมพ์ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 เบื้องต้นหากเราจะวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ดังกล่าวนั่นก็จะต้องมองในสมมุติฐานที่ว่าจำนวนผู้ใช้งานและค่าบริการของ AI ในด้านต่างๆ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือมากพอให้บริษัททำกำไรได้
· ผู้ใช้งาน AI ทั้งลูกค้าระดับบุคคลและระดับองค์กรสร้างเมื่อนำ AI มาใช้งานสามารถเพิ่มรายได้หรือการลดต้นทุนการผลิตและการบริการอย่างไร เบื้องต้นขอยกตัวอย่างกรณีการนำ AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยอ้างอิงการศึกษาของ Harvard Business School ร่วมกับ Boston Consulting Group ในการวิจัยที่ชื่อว่า “Navigating the Jagged Technological Frontier: Field Experimental Evidence of the Effects of AI on Knowledge Worker Productivity and Quality” ตีพิมพ์ในเดือน ก.ย. 2024 โดยทดลองให้กลุ่มตัวอย่างราว 758 คนที่เป็นบุคคลากรระดับปฏิบัติการใช้งาน GPT-4 ทำงาน 18 งาน พบว่าประสิทธิภาพเชิงปริมาณ (Productivity) เพิ่มขึ้น 12.2% (ทำได้มากกว่ากลุ่มควบคุม) และเวลาที่ใช้ลดลง 25.1% โดยเฉลี่ยต่อหนึ่งงานที่ทำ และกลุ่มตัวอย่างที่เดิมมี Performance ต่ำกว่าค่า Median มีคุณภาพงานที่ดีขึ้นราว 43% ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มี Performance ดีกว่าค่า Median อยู่แล้วหลังใช้มีคุณภาพงานที่ดีขึ้นราว 17% กล่าวคือการใช้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมและช่วยลด Gap ของกลุ่มคนที่ทำงานดีอยู่แล้วกับกลุ่มคนที่ทำได้ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานได้ ซึ่งในอนาคตทั้งประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและระยะเวลาการทำงานที่ลดลง มีแนวโน้มที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการบริการได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจที่ใช้ด้วย
ในภาพการลงทุนปี 2026 แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการจะเป็นจุดสิ้นสุดของขาขึ้นของตลาดหุ้นหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ตลาดขาลง (Bear Market) เสมอไปแต่นักลงทุนต้องการข้อพิสูจน์และความชัดเจนของประเด็นที่สำคัญ อาทิ ทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางในอนาคต, ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งประเด็นนี้มีผลโดยตรงต่อระดับ Valuation ของหุ้นในปัจจุบันซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่ถูก รวมถึง AI Adoption Rate และ Path to Profit ของกลุ่ม Hyperscale และ AI Supply Chain หากการใช้งาน AI สามารถวิเคราะห์หรือประเมินได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่าเกิดประโยชน์ต่อผลประกอบการของธุรกิจมากน้อยแค่ไหนเรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ทั้งนี้เพื่อรับเมื่อกับความไม่แน่นอนต่างๆ การกระจายความเสี่ยงและการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive -กลุ่ม Quality Growth อาจเป็นทางเลือกที่นักลงทุนต้องพิจารณาเพิ่มน้ำหนักในพอร์ตมากขึ้นเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ







