ถอดบทเรียนงานวิจัยที่นำไปใช้ได้จริง: ก้าวสำคัญของการพัฒนาตลาดทุนไทย

ผลการศึกษาเรื่อง “Measuring Market Integrity” พบว่าระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น สะท้อนว่านโยบายยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนได้จริง
KEY
POINTS
- ก.ล.ต. นำผลวิจัยเรื่อง “The Rise of Finfluencers” มาต่อยอดสู่การกำหนดเกณฑ์กำกับดูแลและจัดทำโครงการ “Responsible Voices” เพื่อส่งเสริมการให้ข้อมูลการลงทุนบนโซเชียลมีเดียอย่างรับผิดชอบ
- ผลการศึกษาเรื่อง “Measuring Market Integrity” พบว่าระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น สะท้อนว่านโยบายยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนได้จริง
- งานวิจัยเรื่อง “Tick Size ในตลาดทุนไทย” พบว่าขนาด Tick size ของไทยสูงที่สุดในภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการซื้อขายสูง
- จากผลวิจัย ก.ล.ต. มีข้อเสนอให้ปรับลด Tick size เพื่อลดต้นทุนการซื้อขาย เพิ่มสภาพคล่อง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของตลาดทุน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำไปปรับใช้
สวัสดีครับ ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียเข้ามาเติมเต็มชีวิตประจำวันของเราทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็กจนวัยเกษียณ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยที่การใช้โซเชียลมีเดียก็พาความเสี่ยงมาใกล้ตัวเรามากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาจากหลายทิศทาง โดยเฉพาะข้อมูลที่กระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพทางการเงินที่ทำให้พวกเรามักเกิดคำถามว่า “ข้อมูลไหนเชื่อถือได้ และข้อมูลไหนไม่ควรเชื่อดี?” โดย ก.ล.ต. ก็ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูลทางการเงินมาอย่างต่อเนื่องและได้จัดทำงานวิจัยที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดคุยกันครับ
ย้อนไปเมื่อปีที่แล้วทีมฝ่ายวิจัยและขับเคลื่อนข้อมูล ก.ล.ต. ได้จัดทำงานวิจัยหัวข้อ “The Rise of Finfluencers : Mapping the Landscape on Thailand’s Capital Market” ซึ่งนำ AI มาช่วยคัดกรองข้อมูลบนโซเชียลมีเดียและวิเคราะห์คอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ก.ล.ต. ควรกำกับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลของ อินฟลูเอนเซอร์อย่างไรให้เหมาะสม และหนึ่งในข้อเสนอสำคัญจากงานวิจัยนี้ คือ การกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจนว่า “อะไรทำได้–อะไรทำไม่ได้” ซึ่งนำไปสู่การจัดทำโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer เพื่อส่งเสริมความรู้และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนบนโซเชียลมีเดียอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งงานวิจัยและโครงการนี้เป็นผลงานสำคัญที่ทำให้ ก.ล.ต. ได้รับรางวัล “Regulator Initiative of the Year” จาก Regulation Asia 2025 ตอกย้ำถึงความสำเร็จของการใช้ข้อมูลและงานวิจัยขับเคลื่อนการกำกับดูแลครับ
เมื่อได้กล่าวถึงตัวอย่างโครงการที่สร้างประโยชน์จากการนำผลงานวิจัยไปใช้จริงแล้ว ชวนให้ผมนึกถึงงาน “SEC Capital Market Symposium 2025” ที่จัดโดย ก.ล.ต. เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งงานดังกล่าวเปรียบเสมือนเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากงานวิจัย ระหว่าง ก.ล.ต. สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้ที่เกี่ยวข้องหลากหลายภาคส่วน ภายในงานมีการนำเสนองานวิจัยที่น่าสนใจหลายชิ้นทั้งจากผู้เข้าร่วมประกวดและจากทีมฝ่ายวิจัยฯ ก.ล.ต.
วันนี้ผมจึงขอหยิบยกผลงานวิจัยเกี่ยวกับ “Measuring Market Integrity” และ “Tick Size ในตลาดทุนไทย” ที่จัดทำโดยทีมฝ่ายวิจัยฯ ก.ล.ต. ซึ่งผมได้ฟังมาแบบติดขอบเวทีมาสรุปให้ทุกท่านครับ
เริ่มกันที่งานวิจัยหัวข้อแรก “Measuring Market Integrity: Insights and Metrics for Thailand’s Capital Market” เป็นที่ทราบกันดีว่า market integrity มีบทบาทสำคัญต่อความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ต่อตลาดทุน ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลหลายต่างประเทศ เช่น หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินในสหราชอาณาจักร (FCA) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนของออสเตรเลีย (ASIC) ก็ได้นำตัวชี้วัดด้าน Market Integrity มาใช้เป็นเครื่องมือภายในเพื่อประเมินประสิทธิผลของนโยบายและประกอบการตัดสินใจ เชิงนโยบาย รวมถึงใช้เป็นข้อมูลเพื่อการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมที่ผิดปกติอีกด้วย ซึ่ง ก.ล.ต. ได้จัดทำงานศึกษาเพื่อวัดระดับ market integrity ของตลาดหุ้นไทย โดยใช้แนวทางเดียวกับหน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำในต่างประเทศ จากผลการศึกษาพบว่า ระดับ market integrity ของไทยปรับตัวดีขึ้นหลังจากช่วง Covid pandemic ในปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความโปร่งใสที่ดีขึ้นของตลาดหุ้นไทย สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายยกระดับบริษัทจดทะเบียนเข้มแข็งที่มีการเน้นไปที่ธรรมาภิบาลและระบบการควบคุมภายในของบริษัท และยังพบว่าในตลาดต่างประเทศที่มีโครงการลักษณะเดียวกันต่างก็ให้ผลลัพธ์เชิงบวกเช่นกันครับ จึงแสดงให้เห็นว่า การยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนสามารถส่งผลเชิงประจักษ์ต่อคุณภาพของตลาดทุนและช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในระยะยาวได้จริง
อีกหนึ่งงานวิจัยที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ “Tiny Ticks, Big Impact? Reassessing Tick Size in the Thai Stock Market” ซึ่ง ก.ล.ต. ได้ศึกษาต้นทุนในการซื้อขายหุ้นในไทยเปรียบเทียบกับตลาดในภูมิภาคและตลาด ที่พัฒนาแล้ว ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการซื้อขายสูงนั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก Tick size หรือช่วงราคาขั้นต่ำในการเสนอซื้อขายหุ้น
ถึงตรงนี้ ผู้อ่านอาจมีคำถามว่า ทำไมผู้ลงทุนรายย่อยจึงควรสนใจเรื่อง Tick size? ผมขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ครับ เพราะ Tick size มีบทบาทสำคัญต่อต้นทุนการซื้อขาย (transaction cost) โดยเฉพาะ bid-ask spread ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ผู้ลงทุนต้องเผชิญทุกครั้งที่ซื้อหรือขายหุ้นนั่นเองครับ
โดยผลการศึกษาพบว่า ตลาดหุ้นไทยมีขนาด Tick size โดยเฉลี่ยสูงที่สุดในภูมิภาค และเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว ค่า Tick-to-price ratio ของไทยก็อยู่ในระดับสูงที่สุดในกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 83 ของหุ้นไทย มี spread กว้างเกินความจำเป็น โดยซื้อขายอยู่ที่ระดับ 1-2 tick สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นไทยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น Tick constrained stock หรือหุ้นที่ราคาซื้อขายถูกจำกัดด้วยขนาดของ Tick size สรุปได้ว่าการปรับลด Tick size จะช่วยลดต้นทุนการซื้อขายของผู้ลงทุนไทยได้ครับ
นอกจากนี้ ทีมฝ่ายวิจัยฯ ของ ก.ล.ต. ยังได้ศึกษาข้อมูลจากงานวิจัยต่างประเทศพบว่าให้ผลลัพธ์สอดคล้องกัน คือ การลด Tick size จะช่วยลด spread ลดต้นทุนการซื้อขายลง ทำให้มีแนวโน้มในการเพิ่มสภาพคล่องของตลาดและยังช่วยให้กระบวนการค้นหาราคา (price discovery) มีประสิทธิภาพขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของตลาดทุนไทยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างหารือร่วมกันกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ครับ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า งานวิจัยนั้นจะมีประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อเรานำมาต่อยอดและปรับใช้จริงอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับผู้อ่านที่สนใจรับชมการนำเสนองานวิจัยทั้งหมดในงาน SEC Capital Market Symposium 2025 สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” และดาวน์โหลดเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ที่ เว็บไซต์ ก.ล.ต. ครับ
ก.ล.ต. ดูแลตลาดทุน เพื่อให้คุณมั่นใจ







