กล้าๆ กลัวๆ

นักลงทุนกำลังอยู่ในสภาวะ "กล้าๆ กลัวๆ" เนื่องจากตลาดสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นและทองคำ ให้ผลตอบแทนสูงมากในปีนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่น (Fear & Greed Index) ก็ผันผวนอย่างรวดเร็วจากสภาวะ "โลภ" ไปสู่ "กลัว"
KEY
POINTS
- นักลงทุนกำลังอยู่ในสภาวะ "กล้าๆ กลัวๆ" เนื่องจากตลาดสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้นและทองคำ ให้ผลตอบแทนสูงมากในปีนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่น (Fear & Greed Index) ก็ผันผวนอย่างรวดเร็วจากสภาวะ "โลภ" ไปสู่ "กลัว"
- สำหรับทองคำ แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นสูง แต่ดัชนีความเชื่อมั่นยังอยู่ในโซน "โลภ" และปัจจัยพื้นฐานยังดี ทำให้นักลงทุนลังเลระหว่างความกลัวที่จะ "ติดดอย" (ซื้อที่ราคาสูง) กับความกลัวที่จะ "ตกรถ" (พลาดโอกาส) หากราคาปรับตัวขึ้นต่อ
- ในส่วนของหุ้นเทคโนโลยี แม้จะมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาว แต่ราคาที่สูงก็สร้างความกังวลว่าจะแพงเกินไปหรือไม่ ซึ่งเป็นความท้าทายในการตัดสินใจเข้าลงทุน ผู้เขียนแนะนำให้ทยอยลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนหากมีความกลัว
- บทความชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างความกล้าและความกลัวในการลงทุน โดยสรุปว่า "กล้าเกินไปก็เสี่ยง กลัวเกินไปก็เสียโอกาส"
ผู้ลงทุนที่ไม่ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศหรือในทองคำในช่วงที่ผ่านมา ต่างรู้สึกสงสัยว่า “ฉันพลาดอะไรไปครั้งใหญ่หรือไม่” เพราะตั้งแต่ต้นปีมา ราคาทองคำคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้จะมีการปรับลดลงมาบ้าง แต่ในปีนี้ก็ปรับตัวขึ้นไปแล้ว 52.5% ดัชนีหุ้นนิเคอิของญี่ปุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.4% ดัชนีหุ้นแนสแดค ปรับตัวขึ้น 22.16% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 16.3%
หากดูการปรับตัวของสินทรัพย์ประเภทหุ้นทุนและทองคำ ตั้งแต่หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสงครามการค้าในเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งหุ้นตกกันระนาวทั่วโลก ไปจนถึงการพักรบชั่วคราวในเดือนเมษายน ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่าวิ่งมาแบบไม้เดียว มีหยุดพักปรับตัวนิดหน่อย 1-2 วัน แล้วก็ไปต่อ เพิ่งมาปรับตัวกันในช่วงเดือนตุลาคม โดยเริ่มจากทองคำก่อน ตามมาด้วยหุ้นในตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว แต่แม้จะปรับตัวลดลง แต่ตลาดเกิดใหม่ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30%ใน 10 เดือนแรกของปีนี้
และแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ค่าความผันผวน ซึ่งเป็นการวัดความเสี่ยง ของหลักทรัพย์เหล้านั้นกลับไม่ได้สูงขึ้นอย่างมีนัยยะ ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 10 ปีที่ผ่านมา มีคือ สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ยกเว้น น้ำมันที่มีผลตอบแทนติดลบ 15% และมีค่าความผันผวนในปีนี้สูงถึง 27% และบิตคอยน์ (ไม่ได้อยู่ในสินทรัพย์ที่แนะนำให้นำมาจัดพอร์ตลงทุน แต่ดิฉันคอยติดตามการเคลื่อนไหวเป็นระยะๆ) ซึ่งให้ผลตอบแทน 15.8% และมีค่าความผันผวน 33.9%
ถ้าดูจากดัชนีความกลัวและความโลภ (Fear & Greed Index) ของ CNN (เคยเขียนถึงเมื่อหลายปีก่อน) จะพบว่า ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน ตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ของสหรัฐสะท้อนโดยดัชนี S&P 500 เข้าสู่สภาวะที่ผู้ลงทุนมีความ “กลัวมาก” ขั้นต้น เพราะดัชนีอยู่ที่ 24 ในขณะที่ 1 เดือนย้อนหลัง ดัชนียังอยู่ที่ 56 แปลว่าผู้ลงทุนมีสภาวะ “โลภ” (Greed) อยู่เลยค่ะ เรียกว่าตลาดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ส่วนทองคำ ขออ้างอิงจากดัชนี ชื่อ JM Bullion Fear and Greed Index ซึ่งบอกว่า หลังจากที่ดัชนีขึ้นไปสูงสุดที่ 100 ในช่วง 7-20 ตุลาคม 2568 ซึ่งคือ “โลภสุดขีด” (Extreme Greed) และราคาทองคำได้ขึ้นไปทำราคาสูงสุดของรอบนี้ในระหว่งช่วงเวลาทำการซื้อขายที่ 4,381.4 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในวันที่ 20 ตุลาคม ก่อนจะปิดที่ 4,355 เหรียญ และวันที่ 21 ตุลาคมถูกเทขาย ราคาตกลงไปแตะ 4,082 เหรียญ ก่อนจะพลิกกลับมาปิดตลาดที่ 4,123 เหรียญ อย่างไรก็ดี ราคาปิดในวันที่ 5 พฤศจิกายนอยู่ที่ 3,979.6 เหรียญ และดัชนีความกลัวและความโลภของทองคำ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ได้ตกมาอยู่ที่ 74 “โลภ” (Greed) ซึ่งยังถือว่าคนยังไม่กลัวที่จะซื้อทองคำในรอบนี้อยู่ค่ะ
ปัญหาอยู่ตรงที่ เราไม่ทราบแน่นอนว่าการที่เราเข้าไปลงทุนนั้น จะกลายเป็นเข้าลงทุนราคาสูง แล้วจะ “ติดดอย” หรือไม่ แต่สำหรับคนที่ลงทุนแล้ว หากต้องการขายทำกำไร ก็ต้องดูจังหวะเช่นกัน ดิฉันแนะนำให้ใช้ “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” จับจังหวะการลงทุนค่ะ
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิค ช่วงราคาซื้อขายของทองคำในระยะสั้น จะอยู่ในช่วง 3,837 ถึง 4,328 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และช่วงราคาซื้อขายระยะยาวอยู่ที่ 3,009 ถึง 4,238 เหรียญ โดยในปัจจุบันแนวต้านจะอยู่ที่ 4,083 เหรียญค่ะ ดังนั้นหากหลุด 3,837 เหรียญ ก็อาจไปมีแรงรับที่ 3,544 เหรียญ เลย
แต่เมื่อดูจากปัจจัยพื้นฐาน นักวิเคราะห์มองว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ผู้ลงทุนสนใจอยู่มาก และมีธนาคารกลางของประเทศต่างๆนิยมเก็บทุนสำรองในรูปทองคำมากขึ้น ดังนั้นหากราคาปรับตัวลงไปแรงๆ คาดว่าจะมีคนที่กลัวตกรถเข้าไปซื้อ และธนาคารกลางก็มีแรงจูงใจที่จะซื้อเพิ่มอีกแล้ว
นอกจากนี้ทาง สมาพันธ์ทองคำโลก ยังวิเคราะห์ว่า การขึ้นรอบใหญ่ของราคาทองคำในอดีตที่ผ่านมา สามารถขึ้นได้ยาวนานเฉลี่ย 1,072 วัน รอบนี้เพิ่งขึ้นไปได้ 735 วัน จึงยังมีหนทางที่สามารถไปได้อีกยาวไกล และเมื่อเทียบกับครั้งที่ขึ้นแรงที่สุด ในช่วงสิงหาคม 1976 ถึง มกราคม 1980 ราคาก็ยังขึ้นไปได้ 856 วัน และราคาขึ้นไปถึง 200% ขณะที่รอบนี้ ราคายังขึ้นไม่ถึง แต่ก็ใกล้ๆถึง100% แล้ว
สำหรับหุ้นสหรัฐอเมริกาซึ่งมีบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง มีราคาก้าวกระโดดอย่างมาก เนื่องจากการลงทุนใน AI ดังนั้น เราจึงต้องติดตามข่าวให้ดีว่า ใครไปจับมือกับใคร และใครไปลงทุนซื้อบริษัทเอไอ ไหนมาเป็นลูกบ้าง เพราะดีลดีๆ จะส่งผลถึงราคาหุ้นในอนาคตค่ะ หากไม่มีเวลาติดตาม แนะนำลงทุนผ่านกองทุนรวม
แน่นอนว่า หากพูดถึงหุ้นเทคโนโลยี เราต้องพูดถึงตลาดแนสแดค แต่ในดัชนีหุ้น เอสแอนด์พี 500 ก็มีหุ้นเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยเช่นกัน
พูดถึงหุ้นเทคโนโลยีแล้ว คงหนีไม่พ้นว่า ราคาแพงเกินไปแล้วหรือยัง หุ้นบางบริษัทมีค่าพีอี (ราคาต่อกำไรต่อหุ้น) 40-50 เท่า ยังสมควรเข้าซื้อยู่หรือ คำตอบคือ หากเขาทำยอดขายและกำไรโตได้ปีละ 30% สามปีกำไรของเขาก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว ค่าพีอีก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง
อย่างไรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า หุ้นเทคโนโลยีก็ยังจะขยายไปได้อีกค่ะ จึงควรมีการกระจายไปลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ด้วย เพื่อจะได้มีส่วนร่วมกับการเติบโตของกำไร หากกลัวซื้อแพงแนะนำดูจังหวะเข้าและและทยอยลงทุนเฉลี่ยต้นทุนค่ะ
ข้อคิดวันนี้ “กล้าเกินไปก็เสี่ยง กลัวเกินไปก็เสียโอกาส”
หมายเหตุ : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเสนอแนะให้ลงทุนหรือไม่ลงทุนในหลักทรัพย์ใด เพียงแต่นำสถานการณ์ปัจจุบันมาใช้ในการวิเคราะห์เป็นกรณีศึกษา







