ปรับฐานรอบใหม่

ปรับฐานรอบใหม่

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะทรงตัว แต่มีปัจจัยบวกจากการส่งออกเดือนกันยายนที่ขยายตัวสูงถึง 19.0% และความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในหุ้นไทยยังคงมีทิศทางที่ดี

KEY

POINTS

  • ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ราคาทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัลปรับตัวลงค่อนข้างแรง ขณะที่การที่ FED อาจไม่ลดดอกเบี้ยต่อทำให้ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น
  • เศรษฐกิจโลกและไทยถูกคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง โดย IMF คาดการณ์ GDP ไทยปีนี้และปีหน้าขยายตัวที่ 2.0% และ 1.6% ตามลำดับ ทำให้ต้องมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศต่อไป
  • รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และแพ็คเกจท่องเที่ยว เพื่อประคองการบริโภคในประเทศ ขณะที่ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%
  • แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะทรงตัว แต่มีปัจจัยบวกจากการส่งออกเดือนกันยายนที่ขยายตัวสูงถึง 19.0% และความคืบหน้าในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในหุ้นไทยยังคงมีทิศทางที่ดี
  • ผู้เขียนแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนโดยให้น้ำหนักหุ้น 50% (เน้นไทยและจีน), ตราสารหนี้ระยะสั้น 40% และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำและ REITs อีก 10%

โดยรวมในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนโดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มาดูกันว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นกันบ้างครับ

เริ่มจากสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะหยุดทำการของหน่วยงานราชการต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากพรรครีพับลิกันไม่ยอมรับข้อเรียกร้องเกี่ยวกับมาตรการดูแลสุขภาพจากพรรคเดโมแครต เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทำให้กระแสตอบรับในด้านสินทรัพย์เสี่ยงไม่ค่อยมีผลมากแต่กลับเป็นปัจจัยบวกของ ทอง กับสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตามความร้อนแรงของสินทรัพย์ทั้งคู่ก็แผ่วลงจากประเด็นความตึงเครียดเรื่องสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ กับ จีน ถึงแม้ว่าสถานการณ์ จะดีขึ้นในช่วงปลายเดือน แต่ก็ทำให้เกิดการปรับตัวลงค่อนข้างแรงของทั้งสองสินทรัพย์ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) พรรครัฐบาลญี่ปุ่น เลือกนางซานาเอะ ทาคาอิชิ อดีตรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นผู้นำพรรคคนใหม่ ทำให้มีแนวโน้มสูงที่เธอจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซึ่งนางทาคาอิชินั้น ถือเป็นผู้ที่มีแนวคิด ที่อยากใช้นโยบายแบบผ่อนคลาย เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ล่าสุด พบเห็นการอ่อนค่าของเงินเยน อย่างรวดเร็ว มาดูรายงานของ IMF ฉบับล่าสุดคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจาก 3.3% ในปี 2024 เหลือ 3.2% ในปี 2025 และ 3.1%

ในปี 2026 สำหรับประเทศไทย IMF คาดการณ์ GDP ปีนี้และปีหน้าจะขยายตัวที่ระดับ 2.0% และ 1.6% ตามลำดับ ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับคาดการณ์ครั้งก่อน ในฝั่งของเงินเฟ้อ IMF มีการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวมาอยู่ที่ 0.2% และ 0.7% ตามลำดับ ดูจากภาพรวมประเทศไทยก็ไม่ถือว่าแย่ลงแต่ดูจะทรงตัวเท่านั้นจากภาพนี้ ก็เห็นจะต้องมองการลงทุนในต่างประเทศต่อไป

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาปัจจัยภายในประเทศก็มีเรื่องราวค่อนข้างเยอะเพราะรัฐบาลระยะสั้นชุดนี้ เน้นทำงานมาก เริ่มจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการ คนละครึ่งพลัส ในวงเงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท ใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68 ตามมาด้วย แพ็คเกจกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งมีรายละเอียดเบื้องต้น อาทิ ให้สิทธินำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีสูงสุด 2 หมื่นบาท โดยท่องเที่ยวเมืองหลัก ได้รับสิทธิการลดหย่อน 1 เท่า ขณะที่การท่องเที่ยวเมืองรอง ได้รับสิทธิลดหย่อนสูงสุด 1.5 เท่า หลักการของแผนต่างๆเหล่านี้ ก็เพื่อรักษาภาพการบริโภคภายในประเทศประคองฐานล่างทางเศรษฐกิจ ให้สามารถเดินต่อไปได้เพื่อรอแผนกระตุ้นหลักหรือการแก้ไขปรับปรุงทางโครงสร้างของสินเชื่อรายย่อยโดยมี ธปท. เป็น หลัก มาดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทย กนง.มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ (5 ต่อ 2) เห็นควรให้มีการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม 1.50% โดยตระหนักถึง Policy space ที่เริ่มมีจำกัด ธปท.ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเล็กน้อย โดยในส่วนของ GDP ปีนี้และปีหน้า มองเติบโตที่ระดับ 2.2% และ 1.6% ลดลงจากเดิมที่ 2.3% และ 1.7% ตามลำดับ ดูแล้ว กนง.น่าจะขอดูผลจากแผนกระตุ้นระยะสั้น ก่อนว่าให้ผลเป็นอย่างไร ส่วน Policy Space ผมมองว่า ถ้ามอง เป้าหมาย เงินเฟ้อไม่ถึง 1% ก็ดูแล้วเหลือ Space เยอะอยู่ครับ ท้ายสุดอันนี้ถือว่าเป็น เรื่องประหลาดในแง่บวก ตัวเลขส่งออกประจำเดือนกันยายนพบว่าขยายตัว 19.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แม้จะหักทองคำออกไปแล้ว ก็ยังโตได้ 13.3% จากที่เคยคาดการณ์ว่าจะโตแค่หลักเดียว

การลงทุนในหุ้นทุนโดยเฉพาะในประเทศยังมีทิศทางที่ดี ถึงแม้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะไม่ดีอย่างที่คิด แต่แนวโน้มโดยรวมมีทิศทางที่ดีกว่าคาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออก ความคืบหน้าที่ดีในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ สถานการณ์ ไทย-กัมพูชา ที่ไม่แย่ลง ส่วนตลาดหุ้นในต่างประเทศ สหรัฐฯน่าจะใกล้จบ เรื่อง ภาวะหยุดทำการของข้าราชการแล้ว ส่วนการลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดที่ผมไม่เขียนรายละเอียด เพราะตามคาด 100% ส่วนที่ FED ให้มุมมองแบบว่าไม่แน่ใจว่าจะลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่นั้นในการประชุมเดือนธันวาคม ส่วนตัวผมก็เห็นด้วยเพราะหยุด QT (Quantitative Tightening) แล้ว ต้องขอดูผลลัพท์ก่อนไม่ต้องรีบร้อน และจากปัจจัยนี้ทำให้ Bond Yield เด้งขึ้นแรง ส่วนหนึ่งคือการทำกำไร อีกส่วนคือการปรับ Duration ตามการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป อาการนี้ถือว่าเล็กน้อย ทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยน ส่วนทองกับคริปโตมองว่า การปรับตัวลงแล้วจะไปต่อหรือปรับตัวลงจบแล้วต้องรอดูสัญญาณอีกครั้งในเดือนหน้าครับ เพราะตอนนี้ เทคนิคบ่งชี้ได้ว่า ราคาทองยังอยู่บน Support Line ส่วน คริปโตที่ผ่านมาไปทางเดียวกับทอง พอร์ตการลงทุน ผมยังมองหุ้น 50% โดยไทย จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ อินเดีย ส่วนน้ำหนักแต่ละประเทศ ตามใจเลยครับ แต่ส่วนตัวขอเน้น ไทย กับ จีน แต่อาจจะมีตจัดสรรบางส่วนเพื่อลง สหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น หรือ จีน ส่วนอีก 40% ตราสารหนี้ แต่ขอเน้นระยะสั้น สำหรับ 10% ยังคงเป็นสัดส่วนสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทอง กับ REIT ครับ