หุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัว รับ Big Tech โตเกินคาด "กูรู" ชี้ กังวล Trade War-Private Credit ลดลง

กูรู เผยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาบวก จากแรงหนุนของผลประกอบการไตรมาส 3/68 กลุ่ม Big Tech ที่ดีกว่าคาด นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้นหลังกว่า 85% ของบริษัทรายงานกำไรสูงกว่าคาด ความกังวลหลักเรื่อง Trade War และ Private Credit ลดลง ตลาดมองการเจรจาสหรัฐฯ-จีนเป็นบวกต่อทิศทางหุ้น
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับสู่โหมดเชิงบวก โดยได้รับแรงหนุนหลักจากผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของกลุ่ม Big Tech ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทที่รายงานผลประกอบการแล้วกว่า 85% มีกำไรสูงกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดทำ New High
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าความกังวลหลักของตลาด 2 ประเด็นได้ลดลง ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน (Trade War) และปัญหาการปล่อยสินเชื่อภาคเอกชน (Private Credit)
- นักลงทุนคลายกังวลเรื่องสงครามการค้า โดยมองว่าการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังและความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นภาษี แต่ทว่านักลงทุนกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/68 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่รายงานผลกำไรดีกว่าคาด ส่งผลให้ดัชนีโดยรวมกลับเข้าสู่โหมดเชิงบวก อีกทั้งมีแนวโน้มว่าแรงซื้อปลายปีอาจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วงที่ผ่านมา ต้องเผชิญความผันผวนจากหลากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความกังวลเรื่องการรัดเข็มขัดทางการคลังและความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีในอนาคต ซึ่งกดดันจิตวิทยาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บรรยากาศตลาดเริ่มกลับมาเป็นบวก จากการประกาศผลประกอบการของบริษัทในดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ซึ่งมีผลต่อทิศทางตลาดอย่างมาก การฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มดังกล่าวช่วยหนุนดัชนีโดยรวมกลับเข้าสู่โหมดเชิงบวก
โดยนักลงทุนเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้น จนหลายฝ่ายคาดว่า Santa Rally หรือแรงซื้อปลายปีจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯอีกครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ดี ความกังวลหลักของตลาดในรอบนี้มีอยู่เพียง 2 ประเด็นใหญ่ ได้แก่ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน (Trade War) รอบใหม่ และปัญหา Private Credit หรือการปล่อยสินเชื่อระหว่างภาคเอกชนที่เริ่มสะดุดและมีกรณีเบี้ยวหนี้เกิดขึ้น
"มีรายงานว่าประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมพบผู้นำจีนเพื่อหารือทางการค้า โดยตลาดมองว่าการเจรจาน่าจะเป็นไปในทิศทางบวก แม้จะยังมีเสียงขู่ขึ้นภาษี 150% หากเจรจาไม่คืบหน้า แต่โอกาสแตกหักถือว่ายังต่ำมาก ขณะที่ Private Credit นักลงทุนเริ่มเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเฉพาะจุดไม่ใช่ปัญหาเชิงระบบ ขณะที่สัญญาณการเบี้ยวหนี้ในวงกว้างยังไม่เกิดขึ้นจริง"
นอกจากนี้ แม้หลายฝ่ายเคยคาดว่ารัฐบาลจะเริ่มรัดเข็มขัด แต่ข้อเท็จจริงคือ สหรัฐฯ ยังไม่ได้ลดการใช้จ่ายภาครัฐลง ตรงกันข้ามกลับเปิดช่องให้ใช้งบขาดดุลในปริมาณสูง เพื่อเดินหน้าการลงทุนขนาดใหญ่ หวังสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว"
ขณะที่แนวทางดังกล่าวสะท้อนว่า รัฐบาลมุ่งใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าจะลดงบประมาณลง โดยหวังให้ GDP ขยายตัวเร็วกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ เพื่อให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ลดลงเองโดยธรรมชาติ
วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวแรง หรือดอลลาร์เริ่มกลับมาแข็งค่า รัฐบาลมักส่งสัญญาณหรือให้ถ้อยแถลงบางอย่างที่กดดันค่าเงิน หรือเบรกแรงซื้อในตลาดหุ้น เพื่อไม่ให้กระทบสมดุลเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความผันผวนในระยะสั้น
ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายยังวิตกกับหนี้มหาศาลของสหรัฐฯ และราคาหุ้นที่ดูแพง แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเลขหนี้ แต่หนี้ที่สร้างรายได้หากเงินกู้ของรัฐบาลถูกนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด ผลลัพธ์คือการเติบโตของภาคเอกชนที่สะท้อนผ่านกำไรบริษัท
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการไตรมาส 3/68 ล่าสุด บริษัทที่รายงานประมาณ 20–30 แห่ง มีถึง 85% ที่ทำกำไรดีกว่าคาด ซึ่งเป็นเหตุผลตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงสามารถ ทำ New High หลายครั้ง
สำหรับการลงทุนในหุ้นสหรัฐหากพื้นฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโต นักลงทุนควรหาจังหวะย่อในช่วงระยะสั้นมักเป็นจังหวะปรับพอร์ตเพิ่มในหุ้นคุณภาพ แต่ในทางกลับกัน หากเมื่อใดที่กำไรเริ่มไม่โตนั่นจะเป็นสัญญาณให้เริ่มระวังการปรับฐานเชิงลึกที่มีนัยสำคัญ
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวในภาวะผันผวน ท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจและนโยบายการคลังของรัฐบาล
โดยในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มมีแรงเหวี่ยงมากขึ้น นักลงทุนกังวลว่า รัฐบาลอาจใช้มาตรการรัดเข็มขัดหรือปรับขึ้นภาษีในอนาคต เพื่อชะลอการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับในเชิงนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงรักษาจุดยืนเดิมในการลดภาษี ทั้งสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคธุรกิจและกระตุ้นการจ้างงาน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทรัมป์จะไม่นำแนวทางขึ้นภาษีกลับมาใช้ เพราะจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจในช่วงที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ การเก็บภาษีเพิ่มในเวลานี้อาจทำให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนชะลอลงและกดดันตลาดแรงงาน
"แม้นโยบายภาษีจะยังคงผ่อนคลาย แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ได้แก่ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน ที่ยังเปราะบางและพร้อมปะทุเป็นสงครามภาษีรอบใหม่ได้ทุกเมื่อ ขณะที่คำตัดสินของศาล เกี่ยวกับการใช้อำนาจกำหนดภาษีศุลกากรของทรัมป์ ซึ่งหากศาลตัดสินให้คืนภาษี จะกระทบรายได้ภาครัฐทันที"







