Wealth Effect จากตลาดหุ้นที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม

Wealth Effect คือปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้นสูงขึ้นทำให้นักลงทุนรู้สึกมั่งคั่งและกล้าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง ประเมินว่าหากดัชนี SET เพิ่มขึ้น 10% จะสร้างความมั่งคั่งให้นักลงทุนไทย 1.2 ล้านล้านบาท และสามารถกระตุ้นการบริโภคได้ถึง 60,000 ล้านบาท (0.3% ของ GDP) โดยไม่ต้องใช้งบประมาณภาครัฐ

KEY

POINTS

  • Wealth Effect คือปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้นสูงขึ้นทำให้นักลงทุนรู้สึกมั่งคั่งและกล้าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง
  • ผู้เขียนประเมินว่าหากดัชนี SET เพิ่มขึ้น 10% จะสร้างความมั่งคั่งให้นักลงทุนไทย 1.2 ล้านล้านบาท และสามารถกระตุ้นการบริโภคได้ถึง 60,000 ล้านบาท (0.3% ของ GDP) โดยไม่ต้องใช้งบประมาณภาครัฐ
  • การบริโภคที่เพิ่มขึ้นจะถูกขยายผลต่อด้วย "ตัวคูณทางเศรษฐกิจ" (Multiplier Effect) ซึ่งอาจกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้สูงสุดถึง 180,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1% ของ GDP
  • ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งยังช่วยให้ภาคธุรกิจระดมทุนได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง นำไปสู่การลงทุน การขยายธุรกิจ และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น
  • ภาครัฐสามารถสร้างความเชื่อมั่นและใช้มาตรการสนับสนุนตลาดทุน เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้กลไก Wealth Effect และ Multiplier Effect ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการบริโภคในประเทศที่ซบเซา การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่ การส่งออกที่เข้าสู่ยุคกีดกันทางการค้า และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก หนึ่งใน “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ที่ถูกมองข้าม คือ ตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของนักลงทุนเพียงไม่กี่ล้านคน จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากภาครัฐในระดับนโยบาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดหุ้นคือแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของภาคธุรกิจไทย และมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเศรษฐกิจของประเทศ

ที่สำคัญกว่านั้น ตลาดหุ้นยังสามารถเป็น “ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ได้ หากรัฐบาลเลือกที่จะใช้ประโยชน์จากตลาดหุ้นอย่างจริงจัง

ตลาดหุ้นมีศักยภาพสูงในการสร้าง “แรงส่งทางเศรษฐกิจ” ผ่านสองกลไกหลัก คือ ผลของความมั่งคั่ง (Wealth Effect) และ ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect)

Wealth Effect คือปรากฏการณ์ที่ราคาหุ้นที่ปรับสูงขึ้นทำให้นักลงทุนรู้สึกมั่งคั่งขึ้น จึงกล้าใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวตามไปด้วย

งานวิจัยจากหลายสถาบันทั้งในและต่างประเทศชี้ว่า หากมูลค่าทรัพย์สินของครัวเรือนเพิ่มขึ้น 100 บาท จะกระตุ้นการบริโภคได้ราว 3 บาท

ผมเชื่อว่าถ้าความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากราคาหุ้นที่พุ่งสูง และนักลงทุนเชื่อว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสไปต่อ ตัวเลขนี้อาจสูงได้ถึง 4-5 บาท

กล่าวคือ หากดัชนี SET ปรับขึ้นจนทำให้มูลค่าตลาดรวม (Market Cap) เพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาท อาจส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ราว 17 ล้านล้านบาท ดังนั้น หากดัชนี SET เพิ่มขึ้น 10% จะทำให้มูลค่าความมั่งคั่งของนักลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 1.7 ล้านล้านบาท

เมื่อหักสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติ (ประมาณ 30%) ออก จะเหลือผลต่อ “ความมั่งคั่งของนักลงทุนไทย” ราว 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถกระตุ้นการบริโภคเพิ่มขึ้นได้ถึง 60,000 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 0.3% ของ GDP

และหากนับรวมผลของ “ตัวคูณทางเศรษฐกิจ” ตัวเลขนี้อาจขยายใหญ่กว่านั้นหลายเท่า

“ตัวคูณทางเศรษฐกิจ” คือการที่เงินที่เข้าสู่ระบบจากการใช้จ่าย จะหมุนเวียนต่อไปยังภาคส่วนอื่นของเศรษฐกิจ

เงินที่ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้นจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น จะกระจายไปยังร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ภาคบริการ และการท่องเที่ยว ฯลฯ สร้างรายได้ต่อเนื่องให้ผู้ประกอบการและแรงงาน

โดยทั่วไป ตัวคูณทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ราว 2-3 เท่า หมายความว่า การบริโภคที่เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท อาจขยายเศรษฐกิจได้สูงสุดถึง 180,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1% ของ GDP โดย ไม่ต้องใช้งบประมาณภาครัฐ

ตลาดหุ้นที่แข็งแรงยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การระดมทุนที่ง่ายขึ้น และต้นทุนการระดมทุนที่ถูกลง ซึ่งจะช่วยนำไปสู่การลงทุนในโครงการใหม่ๆ หรือการต่อยอดการขยายธุรกิจ 

มูลค่าตลาดของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ยังช่วยให้งบดุลของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น ลดข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ทำให้บริษัทสามารถกู้ยืมเงินได้ง่ายขึ้นเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ และจ้างงานเพิ่มขึ้น 

อีกทั้งภาครัฐยังสามารถเก็บภาษีเงินได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และกำไรที่สูงขึ้นของภาคธุรกิจ

ตัวอย่างจากสหรัฐอเมริกาแสดงให้เห็นชัดว่า การเติบโตของตลาดทุนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ GDP ผ่านการบริโภค การลงทุน และการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในภาวะที่รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การใช้ “ตลาดหุ้น” เป็นอีกกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงเป็นทางเลือกที่ควรพิจารณาอย่างจริงจัง

แม้จะมีคำถามว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลาดหุ้นจะสร้าง Wealth Effect ได้มากแค่ไหน แต่ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ชี้ว่า ค่าเฉลี่ยการคาดการณ์ดัชนี SET ใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 1,415 จุด ซึ่งยังมี Upside ราว 10%

และผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพไปได้ไกลกว่านี้ หากภาครัฐ สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนกระจายเงินออมเข้าสู่ตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง เสริมความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ และ แสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนตลาดทุนอย่างจริงจัง

หากรัฐบาลสามารถส่งสัญญาณชัดเจนเช่นนั้น นักลงทุนต่างชาติที่เคยหันหลังให้ตลาดหุ้นไทยมาหลายปี จากการที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำสุดในโลกตลอด 3 ปีที่ผ่านมา อาจกลับมาอีกครั้ง

และเมื่อความเชื่อมั่นกลับคืนมา ผลของ Wealth Effect และ Multiplier Effect จะทำงานเต็มที่ กลายเป็นแรงส่งสำคัญให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างยั่งยืน