SET กับความคาดหวังในช่วงข้างหน้า

SET กับความคาดหวังในช่วงข้างหน้า

SET Index ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเชิงบวกต่อรัฐบาลใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้นหลังปรับขึ้นแรง ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทั้งจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งช่วยลดต้นทุนและพยุงเศรษฐกิจ

KEY

POINTS

  • SET Index ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเชิงบวกต่อรัฐบาลใหม่และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงพักฐานระยะสั้นหลังปรับขึ้นแรง
  • ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทั้งจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งช่วยลดต้นทุนและพยุงเศรษฐกิจ
  • นักลงทุนยังคงจับตาประสิทธิภาพของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเผชิญความท้าทายจากการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในการผลักดันนโยบาย
  • คำแนะนำการลงทุนคือให้ใช้ความระมัดระวังและเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Selective Play) โดยเน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง เช่น กลุ่มการเงิน (จากดอกเบี้ยขาลง) และกลุ่มค้าปลีก (จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ)

SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.7% ในรอบเดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งสร้างความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งวงเงิน 25,000 ล้านบาท ควบคู่กับแรงสนับสนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อย่างไรก็ตาม หลังตลาดตอบรับข่าวบวกต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง เราเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรและการอ่อนตัวของดัชนีในช่วง 4–5 วันที่ผ่านมา สะท้อนการพักฐานระยะสั้นหลังจากที่ปรับตัวขึ้นแรง

รัฐบาลสี่เดือนกับความคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจ

หลังการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มีการดึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับเข้ามาดูแลกระทรวงหลัก สร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและนักลงทุน อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อย่างไรก็ตาม แม้การจัดทัพทีมเศรษฐกิจได้รับการตอบรับในเชิงบวก แต่ภารกิจการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นยังคงเป็นโจทย์สำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดจากการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ทำให้การผลักดันนโยบายใหม่ ๆ อาจไม่ง่ายนัก นักลงทุนจึงจับตาว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่จะออกมาจะมีประสิทธิภาพเพียงใดในการหนุนตลาดและสร้างความเชื่อมั่นต่อเนื่อง

ดอกเบี้ยขาลงช่วยหนุนตลาด

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติ 11-1 เสียง ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 4.00-4.25% (ค่ากลาง 4.13%) ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งแรกตั้งแต่ธันวาคม 2567 โดยมีเพียง Stephen Miran กรรมการใหม่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์แต่งตั้ง เสนอให้ลดแรงถึง 0.50% การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนแนวโน้มว่าในปี 2568 เฟดจะมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งจากแรงกดดันทางการเมือง การให้น้ำหนักกับตลาดแรงงานที่อ่อนแรงมากกว่าความกังวลด้านเงินเฟ้อ และความจำเป็นในการพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ก็มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% เหลือ 1.50% จากแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งหลังของปีที่ชะลอตัว ทั้งจากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่รุนแรง และกำลังซื้อครัวเรือนที่อ่อนแรง ตลอดจนสินเชื่อที่หดตัวและคุณภาพด้อยลง ทำให้การผ่อนคลายนโยบายการเงินถูกมองว่าจำเป็นเพื่อลดต้นทุนและบรรเทาภาระหนี้ 

มุมมองการลงทุน

SET Index ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันอยู่ในช่วงพักฐานและรอปัจจัยหนุนใหม่ โดยยังมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตามในครึ่งหลังของปี นักลงทุนจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เน้นการเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งแบบ Selective Play เช่น หุ้นในกลุ่มการเงินที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง และหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งยังเป็นธีมหลักในการขับเคลื่อนตลาดในระยะต่อไป