หุ้นขึ้นไม่มี (หุ้น) เรา (แต่หุ้นลงเราลงด้วย)

หุ้นขึ้นไม่มี (หุ้น) เรา (แต่หุ้นลงเราลงด้วย)

แม้ดัชนีตลาดหุ้นหลักทั่วโลก (สหรัฐ , เวียดนาม) จะปรับตัวขึ้น แต่พอร์ตของนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากกลับมีผลตอบแทนที่น่าผิดหวังหรือขาดทุนสวนทาง

KEY

POINTS

  • แม้ดัชนีตลาดหุ้นหลักทั่วโลก (สหรัฐ, เวียดนาม) จะปรับตัวขึ้น แต่พอร์ตของนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากกลับมีผลตอบแทนที่น่าผิดหวังหรือขาดทุนสวนทาง
  • สาเหตุหลักเกิดจากการที่ตลาดถูกขับเคลื่อนโดยหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัวที่ราคาพุ่งสูง (เช่น กลุ่ม 7 นางฟ้า, VIN Group) ขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดกลับนิ่งหรือปรับตัวลง
  • ปรากฏการณ์นี้สร้างความท้าทายให้นักลงทุนระยะยาวแบบเน้นคุณค่า (VI) ที่ไม่ได้ถือหุ้นนำตลาดเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนแพ้ดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ

ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ หุ้นในตลาดหลักของโลกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา หุ้นในตลาด “โตเร็ว” อย่างเวียดนาม และแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่เคยตกลงมาแรงก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นตลาดหุ้นที่คนไทยเข้าไปลงทุนเป็นเรื่องเป็นราว มีการปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก

ดัชนีหุ้น S&P 500 ปรับตัวขึ้นประมาณ 9.6% ดัชนี VN ของเวียดนามปรับตัวขึ้นถึง 28.7% และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 10% จากที่เคยตกลงไปถึงเกือบ 25% ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ดังนั้น นักลงทุนทั้งหลายหรือส่วนใหญ่ควรที่จะดีใจ และน่าจะมีความหวังที่เต็มเปี่ยมกับการลงทุนในปีนี้ใช่ไหม?

แต่สำหรับหลายคน และรวมถึงตัวผมเองนั้น ผลประกอบการของการลงทุนตั้งแต่ต้นปีมานั้น ต้องบอกว่าน่าผิดหวังอย่างแรง พอร์ตตั้งแต่ต้นปียังขาดทุนหนัก และแทบไม่ได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงด้วยซ้ำ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือก และถือลงทุน “ระยะยาว” ซึ่งเน้นการลงทุนเพียงไม่เกิน 10 ตัวหลักๆ ในแต่ละตลาดนั้น ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามดัชนีในแทบทุกตลาดหุ้นที่ไป หลายๆ ตัวปรับตัวลงมาด้วย

หลายคนเฝ้ามองดัชนี และหุ้นบางตัวที่กำลังวิ่งขึ้นในวันที่ตลาดหุ้นร้อนแรง และก็เห็นหุ้นที่ตนเองถือนิ่งหรือปรับตัวลงวันแล้ววันเล่าก็รู้สึกเศร้าใจ และหดหู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้นที่ดี และถูก เข้าตำราการลงทุนแบบ VI อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะขายทิ้ง

ตรงกันข้าม หุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงทุกตัวนั้น พื้นฐานทางธุรกิจก็ยังแย่อยู่มาก บางตัวก็อาจจะกำลังฟื้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงลิ่วนั้น แพงเกินไปมาก แม้แต่กับหุ้นไฮเทคสุดยอดของอเมริกาที่กำลังโตจนแทบคับตลาดหุ้น

คอมเมนต์ที่เห็นบ่อยมากในเว็บเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงนี้จึงเป็น “หุ้นขึ้นไม่มี(หุ้น)เรา แต่เวลาหุ้นลง เราลงด้วย” และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหุ้นไทย หุ้นเวียดนาม และหุ้นอเมริกาก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน เหตุผลก็เพราะว่า หุ้นขึ้นรอบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระจายไปทั้งตลาดแบบที่จะเป็นเมื่อตลาดอยู่ในภาวะกระทิง หุ้นขึ้นรอบนี้ ถูกนำโดยหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่มีขนาดใหญ่มาก และหุ้นขึ้นไปแรงมาก ซึ่งส่งผลต่อดัชนีตลาดมหาศาล ในขณะที่หุ้นอื่นๆ อีกหลายร้อยตัวเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นตัวเล็กๆ ที่มีสภาพคล่องต่ำนั้นแทบจะไม่ขึ้นเลย หรือตกลงมาด้วยซ้ำ

ลองดูตลาดหุ้นอเมริกาคือ ดัชนี S&P 500 ซึ่งหุ้นตัวหลักๆ ตอนนี้คือ กลุ่มหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งมีมูลค่าตลาดของหุ้นรวมกันถึงประมาณ 32% ของหุ้นทั้งตลาด หุ้น NVIDIA มีมูลค่าสูงถึง 7.6% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ 34.4% หุ้น ไมโครซอฟท์ มีสัดส่วน 6.8% และให้ผลตอบแทน 23.9% หุ้นเมตาหรือเฟซบุ๊กมีสัดส่วน 3.4% และให้ผลตอบแทนประมาณ 32% ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ อีก 4 ตัวซึ่งประกอบด้วย หุ้นแอปเปิล กูเกิล อเมซอน และเทสลา นั้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5-6% เท่านั้นส่วนหนึ่งเพราะหุ้นเทสลาติดลบถึงกว่า 10%

คิดเฉพาะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง 3 ตัวคือ เอ็นวิเดีย ไมโครซอฟท์ และเมตา ก็มีส่วนทำให้ดัชนี S&P ขึ้นไปประมาณ 5.3% แล้ว และถ้าคิดเฉพาะหุ้น 7 นางฟ้า ก็น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี S&P เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1% เป็น 6.3% ดังนั้น ถ้าหุ้น S&P ซึ่งรวมหุ้นทั้งหมดปรับขึ้นไป 9.6% หุ้นเกือบ 500 ตัวในดัชนีที่ไม่รวมหุ้น 7 นางฟ้าก็จะโตขึ้นเพียงประมาณ 3.3% ตั้งแต่ต้นปี

ข้อสรุปก็คือ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ และคุณไม่ได้ลงทุนในหุ้นสุดยอด 3 ตัวดังกล่าวหรือไม่ได้ลงทุนในหุ้น 7 นางฟ้า ถ้าคุณกระจายความเสี่ยงดี คุณก็น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณแค่ 3% แต่ถ้าหุ้นที่คุณเลือกนั้น “ผิดตัว” คุณก็จะมีโอกาสขาดทุนได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นดีมาก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนั้น ปรับตัวขึ้นอย่าง “ระเบิด” คือ ปรับตัวขึ้นถึง 28.7% ซึ่งน่าจะ “ดีที่สุดในโลก” แต่ถ้ามองลึกเข้าไป หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีสุดยอดนั้น มีไม่กี่ตัว เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หุ้นในกลุ่ม “VIN Group” ซึ่งประกอบไปด้วย หุ้น VIC ที่เป็นบริษัทแม่ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาด และมี Market Cap. คิดเป็น 8.3% ของทั้งตลาด หุ้น VHM มีขนาดคิดเป็น 7.3% และ VRE 1.3% โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของหุ้น VIC เท่ากับ 186% VHM 135% และ VRE 77%

คิดไปแล้ว หุ้น 3 ตัวนี้น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี VN ของเวียดนาม เพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของดัชนีคือ 14.4% เข้าไปแล้ว ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม ถ้าไม่นับหุ้นกลุ่ม วินกรุ๊ป 3 ตัวปรับตัวขึ้นไปประมาณ 14.3% และถ้ามองดูแบบคร่าวๆ ก็จะพบว่าหุ้นอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นไปมากกว่าปกติก็คือ หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร และบริษัทหลักทรัพย์ ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว ซึ่งทำให้พอสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นเวียดนามที่ขึ้นไปมากนั้น จริงๆ เป็นการปรับขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างมโหฬารอานิสงส์จากการที่กลุ่มบริษัทเริ่ม “ฟื้นตัว” จากปัญหาการเงินที่รุนแรงจนเอาตัวแทบไม่รอด

สำหรับตลาดหุ้นไทยเองนั้น ผมไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด แต่ก็พบว่าหุ้นขนาดใหญ่มากหลายๆ ตัว อาทิ กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันปตท. และปตท.สผ. หุ้นเดลต้า กลุ่มแบงก์ขนาดใหญ่ กลุ่มหุ้นสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ราคาหุ้นตกลงมาน้อยหรือเพิ่มขึ้นจากต้นปีบ้าง และเป็นตัวค้ำไม่ให้ดัชนีตลาดโดยรวมตกลงมามากกว่า 10% อย่างที่เห็นล่าสุด แต่หุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่อง และไม่มีคนเล่นนั้น ตกลงมาแรง บางตัวเป็น “หายนะ” พูดง่ายๆ ถ้าคุณไม่มีหุ้นเหล่านั้น ซึ่งมีจำนวนไม่มาก พอร์ตหุ้นไทยปีนี้มักจะมีผลตอบแทนที่ “เลวร้าย” และน่าจะตกมากกว่า 10% จากต้นปีจนถึงวันนี้

ปรากฏการณ์ที่หุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวถูก “เล่น” โดยนักลงทุนจำนวนมาก ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และถูก “ขยายกำลัง” หรือพลังในการซื้อโดยโรบอต ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ถึงยักษ์เหล่านั้นมีราคาพุ่งเป็นจรวด ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดพุ่งขึ้นแรง ในขณะที่หุ้นตัวอื่นหรือกลุ่มอื่นอาจจะถูกละเลยจนทำให้ราคาไม่เพิ่มขึ้นตามดัชนีหรือแม้แต่ตามผลประกอบการที่ควรจะเป็น ทำให้การ “เลือกหุ้น” โดยเฉพาะเพื่อการลงทุนระยะยาวตามพื้นฐานของกิจการโดยเฉพาะในแนว VI นั้น น่าจะลำบากขึ้น อย่างน้อยก็ในแง่ของผลตอบแทนในระยะเวลาสั้นที่อาจจะด้อยลงเมื่อเทียบกับการลงทุนแนวทางอื่น

ในอีกมุมหนึ่งก็คือ มันอาจจะทำให้ VI บางคน “ถอดใจ” และไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวหุ้นอาจจะผิด ซึ่งทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนหรือลดลงไปมากจนทำให้ตนเองรับไม่ไหว และขายหุ้นทิ้ง และอาจจะพลาดผลตอบแทนที่อาจจะมาภายหลัง หลังจากที่กระแส “หุ้นตัวใหญ่กินเรียบ” หมดไป

ในความคิดผมเองนั้น ก็คงจะคล้ายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ช่วงนี้ต้องนั่งมอง “หุ้นนางฟ้า AI” วิ่งเอาๆ แต่พอร์ตตนเองกลับไม่ค่อยดีนัก โตแค่ประมาณ 5.7% จากต้นปี แพ้ดัชนี S&P ที่ประมาณเกือบ 10% ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “สามนางฟ้า AI” ที่โตถึงประมาณ 30% แต่ถึงอย่างนั้น บัฟเฟตต์ก็ดูเหมือนจะไม่กระวนกระวายใจอะไร ยังนั่งทับกองเงินสดกองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบิร์กไชร์ รอว่าเวลาของหุ้นที่ตนเองถืออยู่จะกลับมาเมื่อไร

ผมเองตอนนี้ก็ร้องเพลงรอว่าเมื่อไรหุ้น “ซูเปอร์สต๊อก” โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเวียดนามของผมจะฟื้นกลับมาเมื่อไร โดยไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรกับมัน แม้ว่าเพลงที่ร้องนั้นมันเป็น “เพลงเศร้า” เพราะพอร์ตเวียดนามของผมตกลงมาหนักมาก เปรียบเทียบกับตลาดแล้วก็แทบเป็น “หายนะ” และผลงานที่ดีเยี่ยมในปีที่แล้วก็ยังไม่พอเทียบกับดัชนีตลาดที่พุ่งขึ้นมากกว่าในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา จนแทบจะพูดว่า “รู้งี้ ลงทุนในดัชนี VN เสียยังดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม ผมก็หวังว่าสถานการณ์แบบนี้จะไม่อยู่คงทน และในที่สุด หุ้นที่ดีในแบบ VI พันธุ์แท้ ก็จะยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์