ฟื้นฟูกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ : ถอดบทเรียนจากธุรกิจญี่ปุ่น

ฟื้นฟูกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ : ถอดบทเรียนจากธุรกิจญี่ปุ่น

บริษัทของญี่ปุ่นต้องปรับตัวกันอย่างมาก กว่าจะฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ แน่นอนว่ามีบริษัทจำนวนมากต้องล้มหายตายจากไป แต่จำนวนไม่น้อยก็เติบโต และแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ล่าสุด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่ม 3% นับเป็นการเพิ่มติดต่อกันเป็นปีที่ห้า แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

KEY

POINTS

  • บริษัทที่ประสบความสำเร็จมีเป้าหมายระยะยาว (อย่างน้อย 10 ปี) ที่ชัดเจน โดยมุ่งสู่ตลาดโลก, เติบโตไปพร้อมกับสังคม, พัฒนานวัตกรรม, เปิดรับความท้าทาย และยึดมั่นในจริยธรรมและความโปร่งใส
  • วิเคราะห์จุดแข็งของตนเองและวางกลยุทธ์การเติบโตโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งนั้น พร้อมกำหนดกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจใหม่หรือตลาดต่างประเทศ
  • เปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียดแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่น และระบุสมมติฐานหลักที่อาจส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย
  • กำหนดนโยบายการเงินที่รัดกุม โดยคำนึงถึงสถานการณ์ตลาด, การควบคุมงบดุล, การจ่ายเงินปันผล, และการจัดสรรเงินทุนเพื่อการเติบโตตามกลยุทธ์
  • วางแผนขยายไปทำธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจหลักเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม และปรับปรุงกำไรด้วยการจัดองค์กรใหม่ (Reorganization)
  • กำหนดแผนการดำเนินงานด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ที่ชัดเจน พร้อมเป้าหมายผลงานหลัก (KPI) และกรอบเวลาที่ต้องบรรลุ
  • เพิ่มมูลค่าบริษัทด้วยการวางกลยุทธ์ด้านแรงจูงใจ เช่น การตั้งเป้าหมายจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น และการซื้อหุ้นคืนเพื่อยกระดับราคาหุ้น

ญี่ปุ่นมีทศวรรษที่สาบสูญทางเศรษฐกิจ ที่เรียกกันว่า Loss Decade หลังจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2534 ถึง ปี 2546 (ค.ศ. 1991-2003) ผลิตภัณฑ์มวลรวมตก ค่าจ้างที่แท้จริงตก ราคาสินค้าหยุดนิ่ง และในความเป็นจริงญี่ปุ่นไม่ได้สูญเสียไปทศวรรษเดียว แต่การสูญเสียลากยาวไปถึงเกือบ 3 ทศวรรษเลยทีเดียว เพราะมีการแข่งขันเกิดขึ้นมากมาย จากทั้งเกาหลีใต้ และจีน และในสมัยนั้นบริษัทญี่ปุ่นค่อนข้างไม่เปิดเผยข้อมูล

หากมองจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้น ก็คือการประกาศนโยบายลูกศร 3 ดอกของอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซะ อาเบะ ในปี 2555 ที่จะแก้ปัญหาเงินเฟ้อต่ำและติดลบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงงาน และรับมือกับปัญหาผู้สูงวัย ซึ่งนโยบายของท่าน เริ่มส่งผลในการเรียกความมั่นใจให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน โดยเริ่มจากกลับไปลงทุนในตลาดหุ้น และเพิ่มการลงทุนโดยตรงต่อมา

บริษัทของญี่ปุ่นต้องปรับตัวกันอย่างมาก กว่าจะฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ แน่นอนว่ามีบริษัทจำนวนมากต้องล้มหายตายจากไป แต่จำนวนไม่น้อยก็เติบโต และแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ล่าสุด บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นเพิ่งประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่ม 3% นับเป็นการเพิ่มติดต่อกันเป็นปีที่ห้า แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยสำนักข่าวนิเคอิเดลี่ ประมาณว่าเงินปันผลของปีการเงินสิ้นสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมาของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น 2,300 บริษัท จะมีมูลค่า 19.99 ล้านเยน หรือประมาณ 4.55 ล้านล้านบาท

ดิฉันไปญี่ปุ่นบ่อยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ได้เห็นพัฒนาการของการฟื้นฟู และพยายามศึกษาว่าบริษัทของญี่ปุ่นแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ซึ่งก็หาข้อมูลได้เฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่เติบโตและแข็งแรงมีเป้าหมายระยะยาว (อย่างน้อย 10 ปี) ที่ชัดเจนคล้ายๆกันคือ 1. มีเป้าหมายมุ่งสู่ตลาดโลก 2. เติบโตและไปด้วยกันกับสังคม 3. พัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมอยู่เสมอ 4. เปิดรับสิ่งท้าทายต่างๆอยู่เสมอ และ 5. ยึดในจริยธรรม ความถูกต้อง โปร่งใส และความยุติธรรม

ข้อมูลของบริษัทที่จัดทำและเปิดเผยต่อผู้ถือหุ้น มีความละเอียดมาก จนดิฉันรู้สึกว่า แทบจะเป็นข้อมูลที่ผู้บริหารใช้ในการติดตามบริหารงานเลยทีเดียว หลายบริษัทเปิดเผยยอดขายแบ่งตามภูมิภาคต่างๆทั่วโลกเป็นรายเดือน และที่สำคัญดิฉันพบบริษัทของญีปุ่นที่เปิดเผยเป้าหมายและแผนระยะยาว จึงอยากนำมาเล่าสู่กันอ่าน เผื่อว่าผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือธุรกิจทั่วไป จะนำไปประยุกต์ใช้ และแอบหวังถึงขั้นที่เราจะประยุกต์ไปใช้ในระดับประเทศ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้คนกลับมาลงทุนในประเทศไทย ในกลุ่มธุรกิจที่เราพึงประสงค์ และพร้อมเติบโตไปกับความแข็งแกร่งของจุดแข็งของเรา

เริ่มจากเป้าหมายขององค์กรต้องชัดเจน ในแผน 10 ปีที่รวบรวมมา องค์กรตั้งเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้เกี่ยวข้องในระยะยาว โดยประสานเป้าหมายการเพิ่มคุณค่าทางสังคมกับการเพิ่มมูลค่า ตัวอย่างหนึ่งคือทำให้พอร์ตธุรกิจของบริษัทมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพและเงื่อนไขของตลาด 

บริษัทวิเคราะห์จุดแข็งของตัวเอง และวางกลยุทธ์การเติบโตโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง โดยวางเป้าหมาย และรอรับผล ซึ่งดิฉันไปดูผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้ สร้างรายได้เติบโตได้ 17% ในเวลา 3 ปี

บริษัทวางกลยุทธ์ในธุรกิจที่แตกต่างออกไป ในแต่ละธุรกิจ โดยเฉพาะหากเป็นธุรกิจใหม่ หรือในตลาดต่างประเทศ บริษัทจะพิจารณาว่าวางแผนจะทำอะไร และควรต้องหาผู้ร่วมลงทุนมาทำงานด้วยไหม ธุรกิจหลายอย่างต้องทดลอง และหากได้ผลดี ก็ทำให้เติบโตต่อไป ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายชัดเจนในแต่ละธุรกิจ

นอกจากนี้ บริษัทยังเตือนตัวเอง (และเตือนผู้ลงทุนด้วย) ว่ามีสมมุติฐานหลักอะไรที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย เพราะหากสมมุติฐานเปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้ไม่บรรลุเป้าหมายได้

ทั้งนี้ การเงินเป็นเรื่องสำคัญ บริษัทตั้งนโยบายว่า เงินทุนที่จะนำมาใช้จะขึ้นอยู่สถานการณ์ตลาด และการควบคุมงบฐานะการเงิน (Balance Sheet) ซึ่งหมายถึงว่าต้องดูอัตราส่วนทางการเงินด้วย ทั้งนี้บริษัทได้ระบุว่า จะจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนเท่าใด จะใช้เงินกำไรส่วนที่เหลือลงทุนเพื่อการเติบโตตามแผน และจัดสรรเงินตามกลยุทธ์ รวมถึงมีการขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินมาลงทุนใหม่ด้วย

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัทวางแผนการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ปรับปรุงกำไรด้วยการจัดองค์กรใหม่ (Reorganization) สำหรับตลาดต่างประเทศ บริษัทเร่งผลงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย และปรับปรุงยุทธศาสตร์ธุรกิจ 

นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนขยายไปทำธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจหลักด้วย เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม ซึ่งธุรกิจอื่นเหล่านี้ อาจเป็นธุรกิจที่บริษัทต้องทำอยู่แล้วให้กับกิจการของตัวเอง แต่ขยายไปรับบริการให้องค์กรอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติม หรืออาจเป็นบริการอื่นๆที่บริษัทใช้บริการอยู่ เช่น เข้าซื้อธุรกิจบริหารจัดการลงทุนให้บุคคลอื่น ฯลฯ

บริษัทเน้นย้ำในการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ลงทุน

และท้ายที่สุด บริษัทกำหนดแผนการดำเนินการเกี่ยวกับ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) พร้อม เป้าหมายผลงานหลัก (KPI) และเป้าหมายเวลาที่จะบรรลุด้วย

ในด้านการเพิ่มมูลค่าบริษัทนั้น นอกเหนือจากการขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มผลกำไรแล้ว บริษัทยังวางกลยุทธ์เกี่ยวกับแรงจูงใจ โดยตั้งเป้าหมายจ่ายเงินปันผลเพิ่มเป็นจำนวนเยนต่อหุ้นด้วยค่ะ และยังวางกลยุทธ์ในการซื้อหุ้นคืน เพื่อยกระดับราคาหุ้นอีกด้วย ซึ่งก็ดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่งและมีการรายงานผลเป็นระยะๆ

ราคาหุ้นของบริษัทตัวอย่างที่ดิฉันยกมานี้ ปรับตัวสูงขึ้น และมีผู้ลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้น

สำหรับบริษัทอื่นๆ ก็มีผลประกอบการที่ดี บางบริษัทยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งมาด้วยซ้ำไป 

หวังว่าบริษัทไทยจะนำไปประยุกต์ใช้บ้างนะคะ และสำหรับภาครัฐ ก็อยากให้มีชินโซะ อาเบะ ของไทยออกมาช่วยประเทศไทยด้วยนะคะ ก่อนที่เราจะไปสู่ทศวรรษที่สาบสูญเหมือนญี่ปุ่นในอดีต